พระอภิธรรมปิฎกกับสภาพธรรม
พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้สภาพธรรม พร้อมทั้งเหตุและผลของธรรมทั้งปวง พระองค์ทรงแสดงธรรมทั้งเหตุและผล ให้รู้สภาพธรรมความเป็นจริง แต่ถ้าไม่รู้สภาพความเป็นจริงทั้งเหตุและผล สภาพธรรมนั้นถ้าไม่รู้จะต้องทำอย่างไรครับ จะต้องมีสติปัญญาของตัวเราเองหรือเปล่าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจก่อนว่า พระอภิธรรม เป็นธรรมที่มีจริง ละเอียดโดยความเป็นธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นพระอภิธรรมตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง พระอภิธรรม จึงไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน เป็นธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น นี้แหละ คือ พระอภิธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน
ส่วนใหญ่เวลาได้ยินคำว่า อภิธรรม แล้วกลัว กลัวว่าจะเรียนไม่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว อภิธรรม ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม ว่าเป็นอภิธรรม ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากอภิธรรมเลย เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ความดี ความชั่ว เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมที่มีจริง ที่เป็นอภิธรรม ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สำคัญที่การเริ่มต้น ด้วยการฟังด้วยการศึกษาพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปทีละเล็ก ทีละน้อย การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องนั้น ต้องไม่ใช่แบบวิชาการ แต่เป็นไป เพื่อขัดเกลา ละคลายกิเลส มีความเห็นผิด ความไม่รู้ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง คือ อภิธรรม ที่เป็นสภาพธรรม ที่เป็นเหตุ และ เป็นผล แต่การจะรู้ความจริงเช่นนั้นได้ ต้องด้วยปัญญา ที่รู้ ไม่ใช่เราที่รู้ ซึ่งก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปทีละเล็กละน้อย จะเห็นความจริงได้ ก็ต้องเข้าใจก่อนครับว่า ความจริงคืออะไร เพราะ การจะรู้ความจริง เห็นความจริง ต้องเห็นด้วยปัญญา ซึ่งก็ต้องเริ่มจากเบื้องต้นคือ ปัญญาขั้นการฟัง จึงจะถึง ปัญญาที่เห็นความจริง ประจักษ์ความจริงที่เป็นปัญญาขั้นสูงได้ ครับ
เริ่มจากการฟังให้เข้าใจว่า ความจริง คือ สิ่งที่มีจริง ที่เป็นสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก และรูป ที่กำลังมีในชีวิตประจำวัน ขณะนี้เห็น ความจริง คือ จิตที่เห็นไม่ใช่เราที่เห็น กำลังได้ยิน ขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่เราที่ได้ยิน แต่เป็นธรรม คือ จิตที่ได้ยิน ขณะที่โกรธ ไม่ใช่เราที่โกรธ แต่เป็นสภาพธรรม คือ จิตโกรธเกิดขึ้น ขณะที่ชอบ ขณะนั้น ไม่ใช่เราที่ชอบ แต่เป็นจิตที่ชอบ เสียง ไม่ใช่เสียงใคร แต่เป็นเพียงรูป ที่เป็นเพียง กลิ่น ไม่มีกลิ่นใคร อะไร แต่เป็นเพียงกลิ่นที่เป็นรูป เป็นแต่เพียงสภาพธรรมไม่ใช่เรา
จะเห็นนะครับว่า ความจริง ก็คือ สิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ไม่รู้ว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา เพราะ สำคัญว่า ความจริงที่กำลังมี เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึก สี กลิ่น รส เป็นต้น เป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล
เมื่อความจริงเป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน เป็นปกติอย่างนี้ การจะรู้ความจริง ก็ต้องรู้ในชีวิตประจำวัน เป็นปกติ ไม่ต้องทำอะไร ไปหาธรรมที่ไหน เพราะ ความจริง ก็คือธรรมมีอยู่แล้ว ขาดแต่เพียงสติและปัญญาที่จะไปรู้เท่านั้นครับ การจะรู้ความจริง ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา หนทางที่ถูกต้อง คือ อบรมปัญญาของตนเอง ซึ่งก็ต้องเป็นปัญญาของแต่ละคน กระผม หรือ คนอื่นไม่สามารถบันดาลให้ผู้สนทนามีปัญญาได้ เพราะป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่หนทางที่จะรู้ความจริง ดังที่พระอริยสาวกทั้งหลายในอดีตได้รู้ความจริง ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็น จิต เจตสิก รูปและประจักษ์ ธรรมอันเลิศด้วยปัญญา คือ พระนิพพานด้วยตนเอง คือ ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม นี่คือ หนทางที่จะนำไปสู่การรู้ความจริง เพราะ สาวก หมายถึง ผู้สำเร็จด้วยการฟัง แต่ต้องไม่ลืมครับว่า ได้สะสมปัญญามาน้อย และสะสมกิเลสมามาก ดังนั้น การฟังพระธรรมเพียงชาตินี้ เพียงไม่มาก ก็ยังไม่สามารถประจักษ์ตวามจริงได้ แต่ทุกอย่างสามารถสะสมอบรมได้ ซึ่งพระอริยสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตร พระอานนท์ เป็นต้น ท่านก็ค่อยๆ อบรมปัญญามาในอดีตนับชาติไม่ถ้วน กว่าจะประจักษ์ความจริงได้ การจะรู้ความจริงของเราและท่านทั้งหลายก็ ต้องค่อยๆ สะสมอบรมปัญญาด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ ก็จะถึงการประจักษ์ความจริงในอนาคต ครับ
สมดั่งพระพุทธพจน์ในโอวาทปาฏิโมกข์ที่ว่า ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง คือ ความอดทนเป็นธรรมเครื่องเผาบาปกิเลสและถึงการประจักษ์ความจริง คือ อดทนที่จะฟัง ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ แม้จะเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ก็ไม่ท้อ เพราะรู้ว่าหนทางการรู้ความจริงเป็นสิ่งที่ยาก ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน จึงอดทนที่ฟังพระธรรมและเข้าใจพระธรรมไปทีละน้อย สักวันก็ถึงการดับกิเลสและประจักษ์ความจริงได้ครับ และแม้แต่พระพุทธเจ้า เมื่อครั้งตรัสรู้ใหม่ๆ ในสัปดาห์ที่ 2 พระองค์เสด็จจากที่ประทับในสัปดาห์ที่หนึ่งแรกตรัสรู้ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ มาที่อีกที่หนึ่งที่เรียกว่า อนิมิสเจดีย์ คือ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงกระพริบพระเนตรเลยตลอด 7 วัน คือ พระองค์ จ้องดูที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์และพิจารณาด้วยปัญญาว่า ณ ที่นี้เอง ที่เราทนลำบาก สละชีวิตเลือดเนื้อ และต้องอบรมปัญญา บารมีมาถึง 4 อสงไขย แสนกัป นับชาติไม่ถ้วน เพื่อมาได้ตรัสรู้ ณ ที่แห่งนี้ตรงนี้เท่านั้น จากที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้า พระองค์ยังต้องอบรมปัญญา กว่าจะรู้ความจริงได้ ใช้เวลายาวนานมาก นับชาติไม่ถ้วน แม้เราก็ต้องอบรมยาวนาน กว่าจะรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ไม่สำคัญที่ผล แต่สำคัญที่เหตุว่า จะอบรมอย่างไร เพราะหากเดินในแนวทางที่ถูกต้อง ย่อมถึงผล คือ รู้ความจริงได้แน่นอน ครับ ซึ่งหนทางก็ไม่มีทางอื่น คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในเรื่องของสภาพธรรม ซึ่งในเวปนี้ก็มีไฟล์ฟังธรรมที่จะเกื้อกูลต่อปัญญาได้เป็นอย่างดี ครับ ทั้งในหมวดฟังธรรม และ ซีดีธรรม สำคัญที่เหตุ คือ การอบรมเหตุให้ถึงการรู้ความจริง ครับ
เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ
การศึกษาพระธรรมเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
เริ่มต้นด้วยความเข้าใจว่าเป็นธรรม
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร หรือ พระอภิธรรม ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงเลย พระวินัย เป็นเรื่องของพระบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวกับความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจา ซึ่งมาจากจิตใจ ก็ไม่พ้นไปจากธรรม, พระสูตร เป็นการแสดงพระธรรม ณ สถานที่ต่างๆ ปรารภบุคคลต่างๆ ยกธรรมประการต่างๆ ขึ้นแสดง ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ส่วนพระอภิธรรม เป็นการยกธรรมล้วนๆ ขึ้นแสดง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ซึ่งเมื่อได้ศึกษาพระอภิธรรม เข้าใจแล้วก็ทำให้ศึกษาพระวินัย พระสูตรเข้าใจได้ด้วย เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมมากยิ่งขึ้น พระอภิธรรม ยาก แต่สามารถเข้าใจได้เมื่อได้เริ่มฟัง เริ่มศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ด้วยความละเอียดรอบคอบเท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสในชีวิตประจำวัน สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น ว่า สิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ว่าจะแสดงโดยพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ก็เพื่อเข้าใจธรรม ตามความเป็นจริงนั่นเอง พระธรรมทุกคำ มีค่ามาก เพราะเป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...