อกุศลจิตเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิต
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"อกุศลจิตเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิต" ท่านอาจารย์บรรยายในจิตปรมัตถ์ตอนที่73 กระผมพอเข้าใจบ้าง ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็ต้องมีความเข้าใจในคำที่กล่าวถึงอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เป็นการศึกษาธรรมทีละคำ คือ คำว่า อกุศล และ กุศล คำว่า อกุศล หมายถึงสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นความชั่ว เป็นธรรมที่ให้ผลเป็นทุกข์ เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่กุศล เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ อกุศลจิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ตัวอย่างขณะที่เป็นอกุศล เช่น ติดข้อง ไม่พอใจ ตระหนี่ ริษยา ไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง เป็นต้น ส่วนกุศล ก็เป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับอกุศลคือ เป็นธรรมที่ดีงาม เป็นความดี ไม่มีโทษภัยใดๆ เป็นธรรมที่ให้ผลเป็นสุข ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ได้แก่ กุศลจิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ตัวอย่างขณะที่เป็นกุศล เช่นมีเมตตา ฟังพระธรรมเข้าใจ ช่วยเหลือผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นต้น
ซึ่งจากคำถามที่ว่า อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลอย่างไรนั้น ก็มาจาก ปัจจัยที่เรียกว่าปกตูปนิสสยปัจจัย ก็ต้องเข้าใจคำ ปัจจัยนี้ก่อน ครับ
ปกตูปนิสสยปัจจัย เป็นสภาพธรรม ที่มีกำลังจนสามารถ เป็นปัจจัยให้เกิดสภาพธรรมอื่นที่เป็นจิต เจตสิกครับ ซึ่งปกตูปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยที่กว้างขวางมากครับ ซึ่งสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมอื่นๆ เกิดนั้น ปัจจัยที่เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย คือ จิต 89 เจตสิก 52 รูป 28 เป็นต้น ซึ่งปกตูปนิสสยปัจจัย มีหลายอย่างดังนี้ครับ
1.กุศลเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิด กุศลที่เป็นจิต เจตสิก เช่น สะสมการฟังธรรม ความเห็นถูกมา ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตคือปัญญาเกิดได้อีกครับ หรือ กุศลขั้นการฟังเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลขั้นสูงครับ
2.กุศล เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิด อกุศล เช่น เพราะมีความเห็นถูก (ปัญญา) ทำให้เกิดมานะ ดูหมิ่นผู้อื่น เป็นต้น
3.กุศลเป็นปัจจัยให้เกิด อัพยากตะ เกิดวิบาก
4.อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศล
5.อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศล
6.อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิด อัพยากตะ ที่เป็นวิบากจิต
7.อัพยากตะ เป็นปัจจัยให้เกิด อัพยากตะ
จะเห็นนะครับว่า ปกตูปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยที่กว้างขวางครับ สภาพธรรมทั้งที่เป็นจิต เจตสิก รูปและบัญญัติด้วย
จากคำถามที่ถามถึงว่า อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิด กุศล จากประเด็นคำถาม ก็ต้องเข้าใจว่าอกุศล เป็นอกุศล กุศล เป็นกุศล จะไม่ปะปนกันเลย ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
อกุศล เกิดแล้วดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลได้ ยกตัวอย่างเช่น อยากทำบุญ อยากฟังธรรม อยาก เป็นอกุศล เป็นความต้องการแล้วเป็นเหตุให้มีการเจริญกุศล คือ ทำบุญ และ ฟังธรรม นี้คือ ตัวอย่าง อกุศล เป็นปัจจัยให้เกิดกุศล ซึ่งธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยจริงๆ และไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวด้วย มีหลายปัจจัย ซึ่งแสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เป็นอนัตตา
และ ลึกลงไปในความละเอียดของธรรม ก็ยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้สภาพธรรมต่างๆ เกิดขึ้น เช่น อกุศล เป็นปัจจัยให้เกิด กุศล คำนี้ หากฟังเผิน ศึกษาไม่ละเอียด ก็จะเข้าใจผิดว่า เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ กุศลสิ่งที่ดี จะทำให้เกิด อกุศลสิ่งที่ไม่ดีได้อย่างไร การเข้าใจผิดนี้ เพราะเราไปเอา ปัจจัยเดียว คือ กัมมปัจจัย คือ ปัจจัยที่เป็น กรรมและผลของกรรม ที่ทำดี ทำกุศล ก็ต้องได้รับผลที่ดี ไม่ใช่ได้รับอกุศล แต่ในความละเอียดของธรรม แม้อกุศล ก็เป็นปัจจัยให้เกิดสภาพธรรมต่างๆ แม้กุศลก็ได้ แต่ ในที่นี้ ไม่ได้ด้วย อำนาจของกัมมปัจจัย แต่ ด้วยอำนาจของปัจจัยอีกประเภทที่เรียกว่า ปกตูปนิสสยปัจจัย คือ เพราะอาศัยอกุศลจิตที่เกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตได้ เช่น เห็นอาหารที่ประณีต ดีมาก หรือ ชิมอาหารนั้น อร่อย ชอบ เกิดโลภะ คือ อกุศลจิตที่ติดข้อง แต่เพราะสะสมมาดี ที่เป็นผู้ให้ทาน อกุศลจิตที่เกิดนั้นแหละ ที่ติดข้อง ก็คิดให้ทาน คือ ซื้อของนั้นไปใส่บาตรให้พระภิกษุ ฉันอาหารที่ดี เป็นต้น อกุศลจิตที่เป็นโลภะ เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตขั้นทานได้ หรือเห็นคนอื่นมีความเข้าใจพระธรรม ก็อยากเข้าใจบ้าง ความอยากเกิดด้วยโลภะ อกุศลจิต ก็ขวนขวายศึกษาธรรม เกิดปัญญา ความเข้าใจถูก อกุศลจิต เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตก็ได้ ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย มากมาย ไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวด้วย นั่นก็ย่อมหมายถึงแสดงให้เข้าใจถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ แม้แต่ กุศล ที่เกิดขึ้น โดยมีอกุศลจิตเป็นปัจจัย นั้น ก็เป็นเช่นเดียวกันคือ แสดงถึงความเป็นเหตุ เป็นปัจจัยของสภาพธรรม โดยที่อกุศลที่เกิดแล้ว ดับไปแล้ว เป็นปัจจัย โดยเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้กุศลจิตเกิดได้ อย่างเช่น อยากได้ผลของกุศล อยากได้สิ่งที่ดีที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ จึงเจริญกุศลด้วยการให้ทาน เพราะเห็นว่าผลของทาน ทำให้มีโภคทรัพย์ ทำให้ไม่ยากจนขัดสน หรือ เป็นผู้มีความสำคัญตน อยากให้คนอื่นเห็นว่าตนเองสำคัญ จึงมีการเจริญกุศลประการต่างๆ เช่น ให้ทาน เป็นต้น หรือ ความเห็นผิด ความไม่รู้ ก็ทำให้มีการเจริญกุศลได้ หรือ บางท่านได้กระทำบาปกรรม กระทำในสิ่งที่ไม่ดีลงไป ภายหลังเกิดสติรู้ว่าได้กระทำในสิ่งที่ผิดไปแล้ว ก็ได้มีการเจริญกุศลต่อไปแทนที่จะไปกระทำอกุศลกรรมอย่างเดิม ครับ
ขอเชิญคลิกฟังจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่นี่
อกุศลเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดกุศล
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ