พระโสดาบัน ตายแล้ว ไปเกิดใหม่ จะยังคงเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ปฏิสนธิจิตหรือไม่
หลายวันก่อนได้มีโอกาสอ่านข้อความ จาก สองสำนักใหญ่ ที่ถกเถียงกันเรื่องที่ว่า พระโสดาบัน ครั้นจุติจากภพนี้ ไปปฏิสนธิในที่ใหม่ เช่น ครรภ์ของหญิงคนหนึ่ง สายที่ ๑ บอกว่า จะยังคงเป็นพระโสดาบันตั้งแรกลงปฏิสนธิเลย ไม่ต้องกลับมาเป็นปุถุชนอีก เป็นตั้งแต่แรกเกิด ทารก เด็ก จนแก่ ก็เป็นพระโสดาบัน สายที่ ๒ บอกว่า ความเป็นพระโสดาบัน นับใหม่ คือ เป็นปุถุชนใหม่ แต่เมื่อโตขึ้นมา ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ก็จะเป็นพระโสดาบันใหม่ แต่เร็วกว่าปุถุชนทั่วไป เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพระโสดาบันตั้งแต่แรกปฏิสนธิ ดังนั้น กระผมใคร่ขอเมตตาจากท่านวิทยากร ช่วยให้การตัดสินด้วยว่า ความคิดเห็นของสายใด จะถูกต้องตามพระธรรมคำสอนที่สุดครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การเกิดในภพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุคติภูมิ หรือ ทุคติภูมิก็ตาม เป็นผลเนื่องมาจากยังมีกิเลสอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัณหา และ อวิชชา เพราะยังมีตัณหาและอวิชชา การเกิดในภพใหม่ก็ยังมีอยู่ตราบนั้น เพราะบุคคลผู้ที่ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ คือ พระอรหันต์เท่่าันั้น พระอรหันต์ดับตัณหาและอวิชชาได้อย่างเด็ดขาด ประเด็นเรื่องพระโสดาบัน ก่อนอื่นควรที่จะได้เข้าใจว่า พระโสดาบัน คือใคร? พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ถึงพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๑ ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพานดับกิเลสได้ในระดับหนึ่่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วนตามสมควร ควรแก่มรรคที่ท่านได้ ยังไม่สามารถดับได้ทั้งหมด พระโสดาบันดับความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับความริษยา ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงๆ ขึ้นไป กล่าวคือ บรรลุเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
ความเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นก่อนครับ ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะนั้น มีแต่สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป อันนี้เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับและพระองค์ก็แสดงว่า ชีวิตก็คือขณะจิตที่เกิดขึ้นและดับไป ขณะเกิดก็คือจิตที่เกิดคือปฏิสนธิจิตและก็มีจิตอื่นๆ เกิดขึ้นสืบต่อ มีจิตเห็น มีจิตที่คิดนึก มีจิตที่เป็นอกุศล เป็นกุศล และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องตาย ก็เป็นจิตนั่นเอง ไม่มีสัตว์ บุคคลที่ตาย เป็นจุติจิตครับ ทำกิจเคลื่อนจากภพภูมินี้ เมื่อจุติจิตดับไปเมื่อยังมีกิเลส จิตที่จะเกิดต่อก็คือปฏิสนธิจิต คือ จิตที่เกิดนั่นเอง ก็แล้วแต่ว่าเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว เกิดในภพภูมิใดและบัญญัติว่าเป็นอะไร จะเป็นมนุษย์หรือเทวดา จะเห็นนะครับว่า เมื่อตายแล้วเกิดทันที เพียงแค่วิถีจิตเดียวเท่านั้นเองคือจุติจิตไปปฏิสนธิจิตครับ ซึ่งพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ทรงแสดงว่าจิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม เมื่อเกิดกุศล เกิดอกุศลก็สะสมเป็นอุปนิสัย เช่น เมื่อมีการให้ทานก็สะสม สะสมความเป็นผู้ให้ทาน ขณะที่โกรธ ขณะนั้นก็สะสมแล้ว ทำให้ต่อไปก็โกรธง่ายขึ้น ทำให้เห็นว่าทำไมบางคนโกรธง่ายเพราะเคยสะสมความโกรธ เคยเกิดจิตที่เป็นโทสะมาก่อนบ่อยๆ อันสะสมมาจากชาติก่อนๆ
บางคนในโลกนี้ทำไมสนใจพระธรรม บางคนไม่สนใจพระธรรม เหตุผลคือเพราะบางคนสะสมการฟังพระธรรมมาก่อน บางคนไม่สะสมการฟัง ซึ่งก็คือจิตนั่นเองที่สะสม ที่กล่าวตรงนี้เพื่อจะย้อนไปที่เมื่อขณะที่จุติจิตเกิดคือตาย ก็เกิดปฏิสนธิจิตเกิดต่อคือการเกิด ดังนั้นสิ่งที่สะสมมาทั้งฝ่ายที่เป็นกุศล มี ปัญญา เป็นต้น และฝ่ายที่เป็นอกุศลมีกิเลส เป็นต้น ไม่ได้หายไปไหนก็เกิดสืบต่อไป ระหว่างจิต ที่เป็นจุติจิต ไปปฏิสนธิจิตครับ เพียงขณะเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าหากหายไประหว่างตายแล้วไปเกิด ฝ่ายอกุศลก็ต้องหายไป จากคนขี้โกรธในชาตินี้ พอจุติเกิด ปฏิสนธิเกิดต่อ เกิดเป็นบุคคลใหม่ก็กลายเป็นคนไม่โกรธเพราะไม่สะสมไปในภพหน้า ความเป็นจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นครับ เช่น เดียวกับฝ่ายกุศล มีปัญญา เป็นต้น หากชาตินี้สนใจพระธรรม เข้าใจพระธรรม จุติจิตชาตินี้เกิด ตายไป เพียงขณะเดียวเท่านั้นของจิต ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที การสะสมปัญญาไม่ได้หายไปไหนครับ ดังเช่น พระอริยสาวกทั้งหลายที่ท่านอบรมปัญญามาในอดีตชาติ เมื่อถึงชาติที่เจอพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังพระธรรมท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้า แสดงถึงการสะสมไม่ได้หายไปไหนครับ เพราะถ้าการสะสมหายไปเพียงแค่เปลี่ยนภพภูมิ ก็จะไม่มีทางบรรลุเลยครับ
โดยนัยเดียวกัน เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าไม่เกิน 7 ชาติ ย่อมเป็นพระอรหันต์ อย่างช้าที่สุดคือ ชาติที่ 7 หากว่าการสะสมหายไปคือความเป็นพระโสดาบันหายไปเพียงแค่ตายแล้วเกิด ซึ่งกระผมก็ได้กล่าวแล้วว่าตายแล้วเกิดเพียงจิตขณะเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นการสะสมปัญญา ก็สะสมไปกับจิตอีกขณะครับ ไม่ได้หายไปไหนเลย ซึ่งหากการสะสมปัญญา มีความเป็นพระโสดาบันหายไปเพียงตายแล้วเกิด เช่น เกิดเป็นมนุษย์ เป็นทารก พระพุทธองค์จะไม่ทรงแสดงเลยครับว่าต่อไปไม่เกิน 7 ชาติจะเป็นพระอรหันต์ เพราะการจะเป็นพระอรหันต์ได้ก็ต้องอาศัยปัญญาที่สะสมมาตั้งแต่ปัญญาเบื้องต้น ปัญญาขั้นพระโสดาบัน ปัญญาระดับพระสกทาคามี จนถึงปัญญาระดับพระอรหันต์ ดังนั้นการสะสมปัญญาไม่ได้หายไปไหนครับ สืบต่อไปที่จิตเกิดดับทีละขณะ ขณะที่จุติดับไป (ตาย) ปัญญาก็สะสมต่อไปในจิตดวงต่อไป คือ ปฏิสนธิจิต (การเกิด) ที่เกิดขึ้น
อย่างเรื่องของท้าวสักกะ ท่านได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า เรื่องสักกปัญหสูตร เมื่อพระอินทร์ท่านฟังจบท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อท่านบรรลุแล้ว จุติท่านก็เกิดคือตายเกิดขึ้นในขณะนั้นเลยและปฏิสนธิจิตท่านก็เกิดต่อ เกิดเป็นท้าวสักกะองค์ใหม่ที่ยืนฟังพระธรรมอยู่นั่นแหละครับ แต่ท่านก็เป็นพระโสดาบันแล้ว ความเป็นพระโสดาบันของท่านก็ไมได้หายไปไหน เพียงแค่จิตขณะเดียวเท่านั้น ถ้าว่าตามความเป็นจริงระหว่างตายแล้วเกิดครับ
เด็กทารกก็เช่นกัน ก่อนที่จะตายก็เพียงจุติจิตดับไป เพียงขณะเดียวเท่านั้น ปฏิสนธิจิตสืบต่อเกิดเป็นเด็กในภพภูมิมนุษย์ ความเป็นพระโสดาบันไมได้หายไปไหน ปัญญาไม่ได้หายไปไหน ปัญญาและความเป็นพระโสดาบันสืบต่อไปในขณะจิตต่อไปนั่นเอง
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงว่า กิเลสใดที่ละได้แล้วด้วยมรรค มีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น กิเลสนั้นจะไม่หวนกลับมาเกิดอีกเลย ไม่ว่าชาติไหนๆ ครับ ซึ่งกระผมจะขอแสดงหลักฐานในเรื่องต่างๆ ที่อ้างอิงเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ในพระไตรปิฎกครับ เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ....
กิเลสย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเมื่อละด้วยมรรคจิต [มหานิทเทส]
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 423
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " กิเลสเหล่าใด อันอริยบุคคลละได้แล้วด้วยโสดาปัตติมรรค,เธอย่อมไม่มาหา คือไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้นอีก; กิเลสเหล่าใด อันอริยบุคคลละได้แล้วด้วยสกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค,เธอย่อมไม่มาหา คือไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้นอีก " ดังนี้.
เรื่องแรกแสดงให้เห็นว่ากิเลสที่พระโสดาบันดับแล้วจะไม่กลับมาอีก เพราะท่านดับด้วยปัญญาระดับมรรคแล้ว กิเลสนั้นจึงไม่เกิดอีกเลย เหมือนต้นไม้ที่ตัดรากแก้วแล้ว ถูกเผาราก ต้นไม้นั้นย่อมไม่เติบโตอีกครับ ดังนั้นความเป็นพระโสดาบันจึงไมได้หายไปไหน ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใดเลยครับ
อีกประเด็นหนึ่งครับ แสดงให้เห็นว่าพระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน เป็นต้น เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว ตายไปเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งคุณสมบัติของพระโสดาบันคือ ท่านจะรักษาศีล 5 โดยไม่ขาดเลย คือไม่ล่วงศีล 5 เลยครับ ดังนั้นเมื่อท่านเป็นพระโสดาบัน แล้วตายไปเกิดในภพภูมิอื่น มีมนุษย์ เป็นต้น ท่านก็จะไม่ล่วงศีล 5 เลย แม้เหตุแห่งชีวิต นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วครับว่าความเป็นพระโสดาบันไมได้หายไปไหน แม้เปลี่ยนภพภูมิไปแล้วก็ตาม ดังข้อความในพระไตรปิฎกครับ
[เล่มที่ 22] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 308
ถามว่า. ก็พระอริยสาวก พึงปลงชีวิตคนอื่นหรือ ?
ตอบว่า แม้ข้อนั้นก็ไม่ใช่ฐานะ (ที่มีได้)
ก็ถ้าใครๆ จะพึงกล่าวกะพระอริยสาวกผู้อยู่ในระหว่างภพ (ผู้ยังเวียนว่ายตายเกิด) ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเป็นพระอริยสาวก แม้อย่างนี้ว่า ก็ท่านจงปลงชีวิตมดดำ มดแดงนี้แล้ว ครอบครองความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในห้องจักรวาลทั้งหมด ดังนี้ท่านจะไม่ปลงชีวิตมดดำ มดแดงนั้นเลย. แม้ถ้าจะกล่าวกะท่านอย่างนี้ว่า ถ้าท่านจักไม่ฆ่าสัตว์นี้ ฉันจักตัดศีรษะท่าน. แต่ท่านจะไม่ฆ่าสัตว์นั้น. คำนี้ท่านพูดเพื่อแสดงว่า ภาวะของปุถุชนมีโทษมาก และเพื่อแสดงกำลังของพระอริยสาวก.
ประเด็นที่จะยกมา เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงการสะสมปัญญาไม่ได้หายไปไหน แม้เป็นทารกเพิ่งเกิด ท่านก็สนทนาธรรมกันได้ ลองอ่านเรื่องนี้ที่พอจะอธิบายสังเขปดูนะครับ เป็นประโยชน์มากในการเข้าใจเรื่องแม้พระโสดาบัน เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วไปเกิดเป็นทารกท่านก็ยังคงเป็นพระโสดาบันอยู่ครับ ซึ่งถ้าเป็นเทวดาเกิดทันทีอันนี้เราไม่สงสัย แต่เพราะเมื่อเราเห็นเป็นทารก ดูไม่รู้เรื่อง แต่ในความเป็นจริง ถ้าเป็นผู้มีปัญญาสะสมมามาก ย่อมแสดงให้เห็นได้ แม้เมื่อเป็นทารกครับ ดังเช่น พระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย เมื่อท่านประสูติ ท่านก็รู้ว่าท่านเป็นผู้เลิศที่สุด และท่านก็ก้าวไป 7 ก้าว กล่าวอสภิวาจา ว่าเราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย นี่ก็แสดงถึงปัญญาที่สะสมไมได้หายไปไหนเลย แม้เป็นทารก ความเป็นพระโสดาบันก็ไม่ได้หายไปไหนเลย แม้เมื่อเกิดใหม่เป็นทารกครับ ซึ่งจะขอยกเรื่องในพระไตรปิฎกประกอบเรื่องนี้ครับ
ซึ่งขอเล่าย่อๆ ว่า ราชธิดานามว่าสุมนาได้ยินเสียงคนสนทนากัน มีคำว่าธาตุ เป็นต้น ซึ่งเสียงนั้นคือเสียงทารกสองคนที่เพิ่งคลอด สนทนากัน ได้ยินว่าทารกสองคนนี้ เคยเป็นพระภิกษุอบรมปัญญามาในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ภิกษุรูปหนึ่งบำเพ็ญวัตรสาราณียธรรม คือเป็นปกติผู้ให้ ภิกษุรูปหนึ่งไม่ได้เป็นผู้ให้ พอเมื่อเกิดอีก รูปหนึ่งที่มีปกติเป็นผู้ให้ ก็เกิดในตระกูล บุตรของพระราชา อีกรูปหนึ่งที่ไม่ได้มีปกติให้ ก็เกิดในท้องของนางทาสี คนรับใช้ของพระราชานั้นเอง นอนอยู่ที่นอนต่ำ ส่วนรูปที่ให้เกิดเป็นบุตรพระราชานอนอยู่ที่นอนสูง ก็เมื่อรู้ว่าอยู่ใกล้กันก็สนทนากัน โดยภิกษุรูปที่มีปกติให้เกิดเป็นบุตรพระราชาก็กล่าวกับทารกที่เป็นลูกของนางทาสีว่า เจ้าไม่เชื่อเรา คือควรเป็นผู้ให้ มาบัดนี้เจ้าเลยเกิดในตระกูลต่ำ นอนที่ลาดที่แข็ง ทารกที่เป็นลูกนางทาสีที่เคยเป็นภิกษุด้วยกันมาในอดีตชาติก็พูดว่า ท่านอาศัยมานะ (ความสำคัญตน) เพราะสิ่งเหล่านี้หรือ ในความเป็นจริงแล้ว เตียงที่นอนก็เป็นเพียงปฐวีธาตุเท่านั้นคือเป็นสภาพธรรมที่แข็งเท่านั้น จึงไม่ควรทำมานะในสิ่งเหล่านี้ เชิญคลิกอ่านเรื่องราวนี้ในพระไตรปิฎกได้ที่นี่ครับ
ทารกแรกเกิดสนทนาธรรมกัน [สุมนสูตร]
จากเรื่องที่เล่ามาแสดงให้เห็นครับว่า เมื่อเป็นทารกที่เพิ่งเกิดเท่านั้นก็สนทนาธรรมเรื่องธาตุได้ แสดงว่าปัญญาที่สะสมมาไมได้หายไปไหนเลยในอดีตชาติของท่าน ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อพระโสดาบันแล้วเมื่อตายไปเกิดเป็นทารก ปัญญาของท่านจะหายไปและความเป็นพระโสดาบันจะหายไปครับ เพราะเป็นปัญญาระดับสูงที่ประจักษ์นิพพาน และกิเลสที่ท่านละแล้วก็จะไม่เกิดอีกต่อไปครับ คุณธรรมของพระโสดาบันจึงไม่เสื่อมไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใดและท่านเข้าใจหนทางดับกิเลสแล้ว จึงสามารถอบรมปัญญาต่อจนบรรลุเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ได้ อย่างช้าสุดไม่เกิด 7 ชาติครับ
พระโสดาบัน คือ ผู้ที่มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรม ความเป็นพระอริยะที่ท่านได้ จะไม่เสื่อม ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นปุถุชนได้อีก มีแต่จะมีการอบรมเจริญปัญญาสะสมปัญญาเพิ่มขึ้นเพื่อการบรรลุมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป จนกว่าจะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่่างเด็ดขาด การเป็นพระโสดาบัน เป็นได้ด้วยปัญญา จะขาดปัญญาไม่ได้เลย สำคัญที่เหตุคือ การได้คบกับผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมจากกัลยาณมิตรนั้น กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง และเพราะได้สะสมปัญญามาแล้วในอดีต จึงสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลได้ ซึ่งปัญญาที่ได้สะสมมานั้น ไม่สูญหายไปไหน มีแต่จะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
พระโสดาบันพึงยังภพที่ ๘ ให้เกิด ดังนี้ ไม่ใช่ฐานะที่มีได้ [วิภังค์ ]
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องมีความเข้าใจว่า พระอริยบุคคลทุกระดับขั้น คือ ผู้ที่ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสที่ท่านดับได้แล้ว จะไม่มีทางที่กิเลสที่ท่านดับได้แล้วจะเกิดอีก และที่สำคัญมรรคจิตแต่ละระดับ เกิดขึ้นทำกิจประหารกิเลส แล้วไม่เกิดอีก โสตาปัตติมรรค ก็เกิดเพียงครั้งเดียว
ดังนั้นผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อเกิดในชาติต่อไป ท่านยังเป็นพระโสดาบันเหมือนเดิม ความเป็นพระอริยบุคคลย่อมไม่เสื่อม แม้จะเป็นเด็กไร้เดียงสา ก็จะไม่มีเจตนาทำผิดศีล ๕ แน่นอน คือ เป็นธรรมดาของพระอริยเจ้าทั้งหลายที่จะไม่เปลี่ยนศาสดา ไม่ล่วงศีล ๕ และมีศรัทธาอย่างมั่นคงในพระรัตนตรัย แต่ไม่ควรกล่าวว่า มีจิตดวงเดิมดวงเดียว เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับสืบต่อกันทุกขณะ จนกว่าจะถึงกาละดับขันธปรินิพพานของพระอรหันต์ จึงจะไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดอีกเลย ครับ
....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...