อยากทราบว่าการดูจิตเป็นอย่างไรครับ
การดูจิตเป็นอย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแ่่ด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่กล่าวว่า ดูจิต หมายถึง สติที่ระลึกในสภาพธัมมะ ต้องพิจารณาให้ละเอียด ถามว่าใครดู สติใช่ไหม ธรรมเป็นอนัตตา บังคับบัญชาได้ไหม สติเป็นธรรมหรือเปล่าบังคับได้ไหม แล้วบังคับที่จะดูจิตได้ไหม ขณะที่มีความต้องการที่จะดูจดจ้องที่สภาพธัมมะที่เกิด ขณะนั้น เป็นความต้องการ เป็นโลภะ หรือ สติ ก็ไม่พ้นไปจากความต้องการอย่างละเอียด คือ การจดจ้อง ซึ่งเราต้องมีความเข้าใจพื้นฐาน แม้ขั้นฟังเสียก่อนว่า ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัยที่เขาจะเกิด ที่พูดกันว่า ดูจิต เขาย่อมหมายถึง สติเจตสิก แต่เราไม่ควรลืมว่าไม่มีใครบังคับบัญชาให้สติเกิดตามใจชอบได้ ถ้าตามดูจิตได้ สติก็คงจะเกิดบ่อยมาก คงบรรลุได้เร็ว สุญญสูตร ก็แสดงไว้แล้วว่า ว่างจากตน ตัวตน เป็นเพียงธัมมะ จึงไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับตามดูจิต แล้วใครจะไปตามดูจิตได้ ทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัยครับ
อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดในการเจริญสติปัฏฐาน สติต้องมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ของสติ มีลักษณะให้สติระลึก นั่นคือ นามธรรม และรูปธรรม แต่ขณะที่ดูจิตที่กล่าวกันนั้น ขณะที่สภาพธัมมะเกิดก็ตามดู แต่ไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วขณะนั้นคิดนึกถึงสภาพธัมมะที่ดับไปแล้ว ซึ่งขณะที่คิดนึกขณะนั้นไม่ได้รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมยกตัวอย่าง ขณะที่เห็นก็คิดนึกว่า ขณะนี้เห็นเป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งขณะที่คิดอย่างนั้น เราก็ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธ้มมะนั้นจริงๆ เป็นแต่เพียง คิดนึกถึงสภาพธัมมะที่ดับไปแล้วครับ คิดนึก จึงไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐานครับ ธรรมเป็นเรื่องละเอียด ถ้าไม่ศึกษาอภิธรรมให้สอดคล้องกับ สติปัฏฐาน
ดังนั้น ตัวตนหรือความเป็นเรา อันเนื่องมาจากความต้องการ (โลภะ) ไม่ได้หนีหายไปไหนเลย โลภะเคยต้องการรูป เสียง.... พอมาศึกษาธัมมะก็เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นความต้องการที่จดจ้อง ดูจิต ตามจิตที่เกิด ซึ่งโลภะ แนบเนียนมาก (ขณะนั้นก็ไม่ใช่หนทาง ยิ่งไกลกันไปอีก) และที่สำคัญที่สุด เราลืมพื้นฐานที่สำคัญที่จะทำให้สติเกิด
และหนทางที่ถูกคือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้สติก็เป็นอนัตตา บังคับให้เกิดตามใจโดยการตามดูจิตไม่ได้ครับ
เพราะฉะนั้น ที่ถูกต้อง ไม่ใช่การดูจิต แต่ที่ถูกคือ ทุกอย่างเป็นอนัตตา แล้วแต่สติจะเกิดหรือไม่ ที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งจะต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ โดยไม่มีตัวตนที่ตามดูจิตแต่อย่างไร ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่เริ่มต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย และที่สำคัญ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าชีวิตประจำวันเป็นธรรม มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยปราศจากธรรม เลย แต่ที่ขาด คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก เมื่อไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ก็อาจจะทำให้มีการประพฤติที่ผิด มีการไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน จดจ้องต้องการ โดยที่ไม่รู้เลยว่า นั่นเป็นความติดข้องต้องการที่ทำให้มีการกระทำที่ผิดปกติอย่างนั้น
จึงขอให้เริ่มต้นที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ว่า สิ่งที่มีจริง ที่ควรฟัง ควรศึกษาให้เข้าใจนั้น คือ อะไร ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เลย เมื่อมีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง จากการได้ฟังได้ศึกษาในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมและปัญญารู้ตามความเป็นจริงได้ โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การศึกษาพระอภิธรรม พระสูตร ควบคู่กับการเจริญสติปัฐฐาน เพื่อการเจริญปัญญาแท้จริง
ขอขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขอเรียนถามท่านวิทยากรทุกท่านนะคะ
พอดีดิฉันมีเพื่อนที่ชักชวนไปฝึกดูจิตอยู่พอดี เขาก็ยกคำอาจารย์สุจินต์มาอ้างว่าสอนตรงกันกับพระที่สอนเขาเลย แล้วก็บอกว่าที่ดิฉันฟังธรรมนั้นก็เป็นเพียงการคิดนึกเรื่องราวเป็นแค่สุตะและจินตามยปัญญายังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา แต่ของจริงคือภาวนามยปัญญาซึ่งไม่มีในตำราเพราะเกิดจากการตามรู้ดูจิต คือต้องฝึกดูจิตหรือสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่มัวไปคิดนึกตามคำของอาจารย์ที่บรรยายธรรม ดิฉันได้ฟังก็รู้สึกปวดหัวเพราะนึกไม่ออกจะอธิบายอย่างไร แต่เข้าใจว่าที่เขาพูดนั้นไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกัน จึงอยากถามว่าเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงอย่างไร ที่เขาบอกว่าสอนตรงกันในเรื่องดูจิต อยากได้คำอธิบายแบบละเอียดที่ทำให้เข้าใจว่าแตกต่างกันค่ะ