การมีฌานสมาบัติ ได้โลกียอภิญญา มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์

 
chaiyakit
วันที่  20 ก.ค. 2557
หมายเลข  25134
อ่าน  4,218

การมีฌานสมาบัติ ได้โลกียอภิญญา มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ หายตัว ทายใจ เป็นการวัดว่าเป็นพระอริยะ หรือเปล่าครับ แล้วพระอริยะหรือพระอรหันต์ ที่ธรรมด๊า ธรรมดา ไม่มีฤทธิ์เดช มีหรือเปล่าครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การได้ฤทธิ์แสดงปาฏิหาริย์ได้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นพระอริยบุคคล เพราะการได้ฤทธิ์ เกิดจากการเจริญสมถภาวนา ซึ่งฤาษีในอดีต ก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้น ก็แสดงฤทธิ์ได้ เพราะเจริญสมถภาวนาได้ฌานสูงสุด แต่ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้เลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังดับกิเลสไม่ได้ จึงไม่ชื่อว่าเป็นอริยะ เพราะ ชื่อว่า อริยะ หมายถึง ผู้ที่ประเสริฐ ที่ประเสริฐ เพราะ ดับกิเลสได้จริงๆ และ เป็นอริยะ เพราะดำเนินหนทาง คือ อริยสัจจ์ทั้ง ๔ ที่เป็นการเจริญวิปัสสนา ที่ไม่ใช่การเจริญสมถภาวนา เพราะฉะนั้น การแสดงฤทธิ์ได้ปุถุชนก็แสดงฤทธิ์ได้ มีอิทธิปาฎิหารย์ และไม่ใช่หนทางการดับกิเลส จึงไม่ใช่หนทางการเป็นอริยะ และ ไม่ใช่พระอริยะ ตามที่กล่าวมา ครับ

...เรื่องอิทธิปาฏิหารย์ไม่เป็นประโยชน์ไม่สามารถดับกิเลสได้ ครับ...

[เล่มที่ 15] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓

ข้อความบางตอนจาก ปาฏิกสูตร

ดูก่อนสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือ เมื่อเราได้กระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ก็ดี หรือ มิได้กระทำก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้แล้ว ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดยชอบหรือ?

เขาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์ได้ทรงทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ หรือ มิได้ทรงกระทำก็ดี ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดยชอบ พระเจ้าข้า.

เรากล่าวว่า ดูก่อนสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เมื่อเราได้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์หรือมิได้กระทำก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดยชอบ เพราะเหตุนั้น เธอปรารถนาการทำอิทธิปฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ไปทำไม. ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอจงเห็นว่า การกระทำเช่นนี้เป็นความผิดของเธอเพียงใด.

สนทนาเพิ่มในปาฏิหาริย์ ๓ อย่างครับ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงว่าปาฏิหาริย์มี ๓ อย่าง คือ

๑.อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์
๒.อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์
๓.อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์

อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การแสดงฤทธิ์ได้ เช่น คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ เป็นต้น

อาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ สามารถรู้ใจผู้อื่นได้ว่าผู้นั้นคิดอย่างไร

ส่วนอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงกับเหล่าสาวก อันสามารถทำให้ละกิเลสประการต่างๆ ได้ ซึ่ง อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นเลิศประเสริฐที่สุด ครับ ดังนั้นถ้าจะกล่าวว่า สุดยอดปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าคืออะไร ก็ต้องกล่าวว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือสุดยอดปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า เหตุผลเพราะว่าอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่สามารถสละขัดเกลาและละกิเลสได้เลย จึงไม่ใช่ปาฏิหารย์จริงๆ ครับ แต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนสาวกให้รู้ว่า สิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดควรเจริญ ไม่ควรเจริญ สิ่งนี้เป็นกุศล สิ่งนี้เป็นอกุศล หนทางนี้ คือ ทางดับกิเลส คือ อริยมรรค การสอนด้วย พระธรรมที่เป็นสัจจะนี้เองที่สามารถให้สาวก หรือ ผู้ที่ได้ฟัง ละสละขัดเกลากิเลส และมีปัญญา ถึงการดับกิเลสได้ นี่คือปาฏิหาริย์อันสูงสุด เพราะว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ละยาก การละกิเลสได้จนหมดสิ้นด้วยพระธรรม จึงเป็นสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์สูงสุดครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ... ปาฏิหาริย์ ๓ [เกวัฏฏสูตร]

...ขออนุโมทนา ครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 20 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอริยะ คือ ผู้ที่ประเสริฐห่างไกลจากกิเลสที่ท่านดับได้แล้วตั้งแต่ขั้นพระโสดาบัน จนถึงสูงสุด คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์

การได้ฌานสมาบัติ ไม่ได้บ่งบอกว่า เป็นพระอริยะ ในกาลสมัยก่อนการเสด็จอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีผู้ได้ฌานมากมาย แต่ก็ยังไม่สามาถหลุดพ้นจากกิเลสได้ เพียงข่มกิเลสไว้ได้ด้วยกำลังแห่งฌานเท่านั้น หรือ แม้ในกาลสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสาวก ก็มีทั้งผู้ที่ได้ฌาน และไม่ได้ฌาน

พระอริยบุคคล ขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์

พระอรหันต์ เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ซึ่งหนทางที่จะทำให้ท่านถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็คือ ดำเนินตามทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ คือ อริยมรรรคประกอบด้วยองค์ ๘ มี สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น อันเป็นหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริุสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งจะขาดปัญญาไม่ได้เลย พระอรหันต์ ก็เป็นพระอรหันต์ แต่ก็ยังแบ่งออกเป็นพระอรหันต์ผู้ไม่ได้ฌาน กับ ผู้ที่ได้ฌาน ตามการสะสมของแต่ละท่าน แต่อย่างไรก็ตาม จะได้ฌานหรือไม่ได้ฌาน พระอรหันต์ก็เป็นผู้สมบูรณ์พร้อมด้วยปัญญาขั้นสูงสุด จึงสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ครับ

..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 20 ก.ค. 2557

ในครั้งพุทธกาล พระเทวทัต ได้ฌาน เหาะเหินเดินอากาศ เพราะความอยากเป็นใหญ่ ฌานเลยเสื่อม คนที่ได้ฌาน ไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลก็มี เช่น พระเทวทัต ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 23 ก.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chaiyakit
วันที่ 28 ก.ค. 2557

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kullawat
วันที่ 28 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Selaruck
วันที่ 23 ก.พ. 2563

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ