ลำดับขั้นต่างๆ ของกิเลส
ขอความเมตตาช่วยชี้แจงเรื่องลำดับขั้นของกิเลสด้วยค่ะที่ว่าแบ่งเป็น
1. อนุสัยกิเลส
2. ปริยุฏฐานกิเลส
3. วีติกกัมมกิเลส
ขอคำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับกิเลสทั้งสามขั้นนี้ว่า หมายถึงอะไร
เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีลักษณะอย่างไร
ขอกราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสอย่างละเอียด เมื่อยังไม่ได้ดับกิเลส อนุสัยกิเลสก็นอนเนื่องอยู่ในจิตที่เกิดดับสืบต่อกัน เป็นเชื้อเป็นปัจจัยให้เกิด ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสทั้งหลายจะดับหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทปหาน ไม่เกิดอีกเลย เมื่อโลกุตตรมัคคจิตรู้แจ้งอริยสัจจธรรม โดยประจักษ์แจ้งสภาพของพระนิพพาน ตามลำดับขั้นของ มัคคจิต ซึ่งปหานกิเลสเป็นสมุจเฉท ตามลำดับขั้นของมัคคจิตนั้นๆ
อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสที่ละเอียดนอนเนื่องในสันดาน ไม่ปรากฏให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นการสั่งสมไว้ในจิต เปรียบเหมือนเชื้อโรคที่ฝังตัวอยู่ในร่างกาย ไม่สามารถรู้ได้ ต่อเมื่อเกิดอาการของโรคแล้ว (ปริยุฏฐานกิเลสและวีติกมกิเลส) ย่อมรู้ได้ว่ามีสาเหตุมาจากเชื้อโรค ซึ่งอนุสัยกิเลส เป็นพืชเชื้อให้มีการเกิดขึ้นของกิเลสอย่างกลาง เช่น ความโกรธในใจ ดังนั้น อนุสัยกิเลส จึงเป็นกิเลสที่ละเอียดที่สุด ที่ไม่ปรากฏให้รู้ได้ในชีวิตประจำวันครับ แต่ถึงแม้ไม่สามารถที่จะรู้อนุสัยกิเลสได้ แต่ก็สามารถอบรมปัญญา เพื่อละอนุสัยกิเลสได้ ด้วยการเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ก็จะถึงปัญญาระดับสูงที่เป็นมรรคจิต ที่สามารถละอนุสัยกิเลสได้จริงๆ ครับ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้และละอนุสัยกิเลส ด้วยการอบรม ศึกษาพระธรรม ครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต แต่ไม่ถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรม ระงับปริยุฏฐานกิเลสได้ชั่วคราว เป็นวิกขัมภณปหานด้วยฌานกุศลจิต
ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต มี นิวรณ์ เป็นต้น แต่ไม่ได้แสดงออกมา ทางกาย และ วาจา เพียงแต่เกิดกิเลสขึ้นมาภายในจิตใจ เช่น เกิดความยินดีพอใจในสิ่งที่ได้เห็น เกิดความขุ่นเคืองใจ แต่ไม่ได้ล่วงแสดงออกมาทางกาย วาจา ซึ่งสามารถรู้ได้ในชีวิตประจำวัน กับผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน โดยผู้นั้นเองที่จะเป็นผู้รู้ ด้วยปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ ครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสอย่างหยาบ ทำให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมทางกาย วาจา วิรัติ คือ ละเว้นวีติกกมกิเลสได้ด้วยศีล
วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสอย่างหยาบ สามารถปรากฏให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เพราะมีการแสงดออกมา ทางกาย และ วาจา เช่น การพูดเท็จ การพูดคำหยาบ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ เป็นต้น
กิเลสขั้นหยาบและกิเลสขั้นกลางจะเกิดได้ ก็เพราะเหตุว่ามีกิเลสขั้นละเอียด ซึ่งไม่มีใครรู้เลยนอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ว่าการที่จะดับกิเลสหมดสิ้น เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นอย่างเด็ดขาด) ได้นั้น ต้องดับอนุสัยกิเลส ซึ่งเป็นพืชเชื้อ ที่เป็นเหตุให้กิเลสขั้นกลาง และกิเลสขั้นหยาบเกิดขึ้นได้
สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ กิเลสที่เป็นระดับที่ละเอียดมาก คือ อนุสัยกิเลส ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท ส่วนพระอรหันต์ ไม่มีอนุสัยกิเลส และไม่มีกิเลสระดับใดๆ ทั้งสิ้น พระอรหันต์ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ท่านไม่หวั่นไหวไปด้วยอำนาจของกิเลส เพราะท่านดับกิเลสได้ทั้งหมดแล้ว แต่ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ย่อมหวั่นไหวไปด้วยอำนาจของกิเลสประการต่างๆ มีโลภะ โทสะ เป็นต้น
จึงแสดงให้เห็นว่ากิเลสที่ปรากฏให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน ก็เป็นกิเลสขั้นกลาง กับขั้นหยาบ และที่รู้ว่ายังมีกิเลสขั้นละเอียดอยู่ ก็เพราะมีกิเลสขั้นกลาง คือ ขณะที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต และกิเลสขั้นหยาบ คือ ล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา นั่นเอง, เพราะยังมีกิเลสขั้นละเอียด จึงเป็นเหตุให้มีกิเลสขั้นกลาง และกิเลสขั้นหยาบ, กิเลสขั้นละเอียดจะหมดไปได้นั้น เมื่อมีการอบรมเจริญปัญญา รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลาย ที่ปรากฏตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ เมื่อปัญญารู้แจ้งอริยสัจจธรรม กิเลสขั้นละเอียดก็จะหมดสิ้นไปเป็นประเภทและหมดไปตามลำดับมรรคด้วย กล่าวคือ
- โสตาปัตติมรรค ดับ ทิฏฐานุสัย และ วิจิกิจฉานุสัย
- อนาคามิมรรค ดับ กามราคานุสัย และ ปฏิฆานุสัย
- อรหัตตมรรค ดับ มานานุสัย ภวราคานุสัย และ อวิชชานุสัย
พระอรหันต์เท่านั้น ที่เป็นผู้ไม่มีอนุสัยกิเลสนอนเนื่องอยู่ในจิตอีกต่อไป กว่าจะดำเนินไปถึงการดับอนุสัยกิเลสได้นั้น ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ขาดการฟังพระธรรม และจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่เพียงแค่ชาติเดียว หรือ สองชาติเท่านั้น ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ เพราะเป็นธรรมที่เศร้าหมอง กระทำให้จิตเศร้าหมองไม่สะอาด เมื่อแต่ละบุคคลรู้จักกิเลสของตนเองมากยิ่งขึ้น (ไม่ใช่ให้ไปดูกิเลสของผู้อื่น) ก็จะเห็นความน่ารังเกียจของกิเลส และเห็นความทุกข์ที่เกิดเพราะกิเลส (ความทุกข์ทั้งปวง ล้วนมีกิเลสเป็นเหตุทั้งนั้น) ก็จะเห็นโทษเห็นภัยของกิเลสยิ่งขึ้น และจะรู้ว่าตนเองมีกิเลสหนาแน่น เหนียวแน่น และ ละคลายได้ยากเพียงใด
กิเลส เมื่อเกิดขึ้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยเท่านั้น ดังนั้น กิเลสจึงเป็นสภาพธรรมที่บัณฑิต หรือ คนดีเกลียด ไม่ควรแก่การเข้าใกล้เป็นอย่างยิ่ง
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ตลอด ๔๕ พรรษา จึงเป็นอนุสาสนี เป็นคำพร่ำสอนเพื่อให้พุทธบริษัทเห็นโทษเห็นภัยของกิเลส เพื่อสำรวจตนเองว่ายังเป็นผู้มากไปด้วยกิเลส (ซึ่งจะทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท) เพื่อจะได้ขัดเกลา ละคลายให้เบาบางลง ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเริ่มจากการฟัง การศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาในชีวิตประจำวัน จนกว่าจะถึงความเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสได้ในที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...