ตายอย่างสงบ ...ตายอย่างไรจึงเป็นการตายอย่างสงบ

 
chatchai.k
วันที่  4 ส.ค. 2557
หมายเลข  25212
อ่าน  3,597

เมื่อวานตอนบ่ายมีโอกาสไปงานฌาปนกิจศพ ท่านผู้เสียชีวิตมีอายุประมาณ 40 ปีเศษ ป่วยด้วยมะเร็งเต้านม หลังเสร็จงาน มีโอกาสได้สนทนากับคุณแม่ของท่านผู้เสียชีวิต คุณแม่บอกว่าลูกสาวจากไปอย่างสงบ

ขอเรียนถามว่า จะทราบได้อย่างไรว่า ผู้ใดเสียชีวิตด้วยความสงบ ตามที่ได้ทราบจากการสนทนาในกระทู้ก่อนหน้านี้ ... (สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี) ว่า สงบ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ดี เป็นกุศลธรรม ขณะใดที่สงบจากโลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นชื่อว่า สงบ คงไม่มีใครสามารถทราบถึงสภาพจิตของผู้อื่นได้ ใช่ไหมครับ

อีกประเด็นหนึ่งที่ขอเรียนถาม คือ ถ้าตายอย่างสงบจะไปเกิดในสุคติภูมิอย่างแน่นนอนใช่ไหม และอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ตายอย่างสงบ กรุณาช่วยชี้แนะครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตายอย่างสงบ คือ ขณะที่ก่อนตาย ชวนจิตสุดท้าย เป็นกุศลจิต ขณะนั้นตายอย่างสงบ สงบจากกิเลส เพราะเป็นกุศลจิต 5 ขณะสุดท้าย ส่วนการตายอย่างสงบที่สุด คือ จุติจิตเกิด และไม่เกิดอีกเลย เป็นการปรินิพพาน ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรม สงบจากทุกสิ่ง เพราะสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป เป็นทุกข์ ไม่สงบจริง ครับ

เป็นความจริงที่ว่า ชีวิตของแต่ละบุคคลที่เกิดมาแล้ว ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้าด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีชาติ คือ มีการเกิดแล้ว ชราย่อมติดตาม พยาธิก็ครอบงำ และท้ายที่สุดก็ถูกมรณะ คือ ความตายห้ำหั่น ทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ขณะที่ตาย เป็นจิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ที่เกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ทันที แล้วดับไป ขณะที่ตาย ไม่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ก่อนจะตาย (คือ ก่อนจุติจิตเกิดขึ้น) ต่างหากว่าจะเป็นอย่างไร กุศลจิตหรืออกุศลเกิดก่อนตาย นี่คือสิ่งที่ควรจะได้พิจารณาจริงๆ

เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท คือ ไม่ประมาทกำลังของอกุศล และไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้มาถึง ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะขอร้อง หรือ ผัดเพี้ยนได้เลย ดังนั้น จึงควรเจริญกุศลทันที ให้ทาน รักษาศีล ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาทันที เพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ได้ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เสมอ โอกาสที่จะเป็นผู้รู้สึกตัวก่อนตาย คือ ขณะที่จิตเป็นกุศลเกิดก่อนตาย ก็ย่อมจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าผู้ที่ประมาทมัวเมาในชีวิตอันจะเป็นผู้หลงตาย ซึ่งก็คือ ตายอย่างไม่มีที่พึ่ง นั่นเอง ครับ. ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 4 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความตาย เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในชาติหนึ่งๆ เป็นจิตขณะสุดท้ายที่เกิดขึ้นแล้วดับไป จิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ ทำกิจจุติ คือ ทำกิจเคลื่อนหรือพรากให้สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ จะกลับมาสู่ความเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย ความตาย เป็นความจริงที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น เมื่อถึงคราวตาย ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็ต้านทานไว้ไม่ได้ เราจักต้องตายแน่แท้ เราจะต้องตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ

ขณะที่สงบ ต้องเป็นกุศล ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นสงบจากอกุศล ถ้าจิตเศร้าหมองเป็นอกุศล ก่อนตาย ย่อมมีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า แต่ถ้าจิตผ่องใสเป็นกุศลก่อนตาย ก็เป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เป็นธรรมที่เกิดเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ขณะที่จุติจิตเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่นั้น เป็นจิตชาติวิบาก ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล

ข้อที่ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ ถึงอย่างไร แต่ละคน ก็จะต้องถึงวันที่จะต้องตายอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว เราจักต้องตายแน่แท้ เราจะต้องตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสะสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ ตามกำลังความสามารถของตนเองที่พอจะเป็นไปได้ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าจะเป็นวันไหนและเวลาใด เพราะฉะนั้น เป็นผู้ไม่ประมาท ด้วยการเริ่มต้นจากการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ พร้อมทั้งตั้งตนไว้ชอบคือศึกษาพระธรรมแล้วมีความจริงใจที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ และไม่ประมาทในกุศลแม้จะเล็กน้อย ด้วย จึงจะเป็นชีวิต ที่เป็นไปกับด้วยประโยชน์ อย่างแท้จริง บุคคลผู้ไม่ประมาท ในชีวิตอันมีประมาณน้อยนี้ ย่อมจะไม่เดือดร้อนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า

ดังนั้น จึงสรุป ได้ว่า ในที่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องหายไปจากโลกนี้ ด้วยกันทั้งนั้น (ตาย) อย่างแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ในระหว่างที่ยังไม่ได้หายไป นั้น ทำอะไร? ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 4 ส.ค. 2557

ตายอย่างไม่ห่วงใย มีปัญญา คือ ตายอย่างสงบ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
orawan.c
วันที่ 4 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
panasda
วันที่ 5 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
rrebs10576
วันที่ 12 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ