มีความมั่นคงในพระรัตนตรัยอย่างไม่คลอนแคลน

 
chatchai.k
วันที่  14 ส.ค. 2557
หมายเลข  25293
อ่าน  5,344

อ่านพบข้อความนี้ในการสนทนาธรรมของกระทู้ ฟังไว้ ฟังไว้... เข้าใจไหม? เกิดความสงสัยว่า ข้อความนี้น่าจะมีความหมายที่ลึกซึ้งมาก จึงขอความกรุณาให้ท่านวิทยากรช่วยอธิบายเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้ที่กำลังศึกษาพระธรรม ความเข้าใจเพียงขั้นการฟัง คงจะยังไม่ใช่ "มีความมั่นคงในพระรัตนตรัยอย่างไม่คลอนแคลน" ใช่ไหมครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ผู้ที่จะถึงความเป็นผู้มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ไม่ใช่พระโสดาบัน แต่ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้มีศรัทธาบริบูรณ์ ไม่หวั่นไหว โดยประการทั้งปวงครับ ดังนั้น การจะถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องเริ่มจากการศึกษา อบรมปัญญาเบื้องต้น ครับ ถึงจะถึงความเป็นผู้มีศรัทธาบริบูรณ์ คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ หน้า ๒๒๖

แม้บุคคล ๔ จำพวก คือ ปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ชื่อว่าผู้ไม่มีศรัทธา ในบททั้งหลายว่า อสฺสทฺโธ เป็นต้น.จริงอยู่ ปุถุชน ชื่อว่าไม่มีศรัทธา เพราะยังไม่ถึงศรัทธาของพระโสดาบัน.พระโสดาบัน...ของพระสกทาคามี.พระสกทาคามี...ของพระอนาคามี.พระอนาคามีชื่อว่าไม่มีศรัทธา เพราะยังไม่ถึงศรัทธาของพระอรหันต์.

-----------------------------------------------------------------------------

ดังนั้น ก็มาสุ่คำถามที่ว่า จะถึงความมีศรัทธา มั่นคงในพระรัตนตรัย ในพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ซึ่งก่อนจะถึงศรัทธาที่มั่นคงด้วยปัญญา ก็ต้องเริ่มจากเหตุให้เกิดศรัทธา ซึ่งในตัณหาสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ครับว่า เหตุให้เกิดศรัทธา คือ การฟังพระธรรม เพราะถ้าไม่มีการฟังพระธรรมแล้วย่อมไม่เกิดความเลื่อมใสไม่เกิดศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลายที่เจริญขึ้น มากขึ้นเลย และเหตุให้มีการฟังธรรม คือ การคบสัตบุรุษ ผู้มีปัญญา มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ครับ เพราะฉะนั้น เพราะอาศัยการคบสัตบุรุษ ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้ฟังธรรม และเมื่อมีการฟังธรรม ย่อมเป็นเหตุให้เกิดศรัทธา สรุปได้ว่า ศรัทธาจะเจริญ จะถึงความบริบูรณ์ไม่หวั่นไหวได้ ก็เพราะอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ ครับ ดังนั้น ไม่ได้สำคัญที่ผลว่าจะได้ศรัทธาบริบูรณ์อย่างไร แต่สำคัญที่เหตุว่า จะถึงความเป็นผู้มีศรัทธาบริบูรณ์ ก็ด้วยการฟังธรรม และปัญญาจะไม่เจริญเลย และไม่ถึงความบริบูรณ์เลย หากขาดปัญญา ความเข้าใจพระธรรม ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...เหตุให้เกิดศรัทธา [ตัณหาสูตร]

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 14 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ก็เพราะมีศรัทธาเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คำสอนที่จะเป็นไปเพื่อความอยาก ความติดข้องต้องการนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพระองค์ทั้งหมด เป็นไปเพื่อละโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด ศรัทธา และ สภาพธรรมที่ดีงามอื่นๆ ไม่ได้เจริญขึ้นเพราะความอยาก เพราะขณะที่อยากนั้น เป็นอกุศล เป็นเหตุขัดขวางให้กุศลธรรมไม่เจริญขึ้นแล้วในขณะนั้น

ศรัทธา ในคำสอนทางพระพุทธศาสนา นั้น เป็นธรรมฝ่ายดี (โสภณธรรม) ที่เกิดร่วมกับจิตที่ดีงาม คือ จิตที่ไม่มีกิเลสเกิดร่วมด้วย ศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมความสงบของจิต และการอบรมเจริญปัญญา จะไม่เกิดร่วมกับอกุศลจิต

เป็นความจริงที่ว่า บุคคลผู้ที่มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย คือ ในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาถึงขั้นที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ศรัทธายังไม่มั่นคงจริง ๆ แต่ก็สามารถอบรมเจริญเพิ่มขึ้นได้ ด้วยความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ละคลายความเห็นผิด ละคลายความสงสัย และกิเลสประการอื่นๆ ศรัทธาก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น คล้อยตามความเข้าใจที่เจริญขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอริยบุคคลทั้งหลาย ก่อนที่ท่านจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลนั้น ท่านก็ยังเป็นปุถุชน ยังไม่มีศรัทธาที่มั่นคง แล้วท่านเหล่านั้นมีศรัทธาที่มั่นคงไม่หวั่นไหวได้อย่างไร ก็ต้องด้วยการอบรมเจริญปัญญา

ในบางพระสูตรพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ศรัทธา เป็นเพื่อนสองของคน หมายถึง เป็นเพื่อนของผู้ที่จะไปสู่สวรรค์และนิพพาน เพราะเหตุว่าเมื่อบุคคลประกอบด้วยศรัทธาแล้ว ย่อมสามารถทำให้ได้รับประโยชน์ทั้งในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้าคือเกิดในภพภูมิที่ดี (มีสวรรค์ และมนุษย์ภูมิ) และได้รับสิ่งที่ดี ที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ อันเป็นผลของกุศล และทำให้ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ดับกิเลสตามลำดับขั้น เนื่องจากว่าบุคคลผู้ที่มีศรัทธา จึงมีการเจริญกุศลประการต่าง ๆ มีการคบหากัลยาณมิตรผู้มีปัญญา มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไตร่ตรองพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เมื่อปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ เพราะอาศัยศรัทธา เป็นเบื้องต้น นั่นเอง ดังนั้น ศรัทธา จึงเป็นสภาพธรรมที่นำมาซึ่งประโยชน์เท่านั้น นำมาซึ่งประโยชน์ ทั้งในโลกนี้ ในโลกหน้า และอุปการะเกื้อกูลให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ด้วยครับ .

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 14 ส.ค. 2557

พระโสดาบันจึงจะเป็นผู้มีศรัทธาที่มั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่เปลี่ยนค่ะ ส่วนปุถุชนศรัทธายังไม่มั่นคงเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรประมาทกับกิเลส เริ่มฟังธรรมให้เข้าใจ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 14 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 14 ส.ค. 2557

ขอบคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 14 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ปวีร์
วันที่ 15 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ