ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้าน Young Rabbit อาคารโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก คุณสดศรี สัมพันธ์ (คุณต่าย) เจ้าของร้าน Young Rabbit ซึ่งเป็นร้านขายส่งเสื้อผ้าเด็ก ตั้งอยู่ที่ชั้น ๕ อาคารโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ริมคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ที่ทุกคนได้เห็นภาพของท่านอาจารย์ เดินเข้ามาในบริเวณอาคาร โบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางของย่านการค้าส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
เป็นความซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ที่รู้สึกได้ถึงความเมตตาอันไม่มีประมาณของท่านอาจารย์ ที่เดินทางไปในทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่วัด ศาสนสถาน โรงเรียน โรงแรมต่างๆ ในต่างจังหวัด ก็เช่น เชียงใหม่ เลย หาดใหญ่ ราชบุรี สมุทรสงคราม เขาใหญ่ หัวหิน ฯลฯและ แม้ในต่างประเทศ เช่น อเมริกา อังกฤษ โปแลนด์ กรุงปราก สาธารรัฐเชค สาธารณรัฐประชาชนลาว พม่า กัมพูชา ศรีลังกา อินเดีย และเวียดนาม เป็นต้น ที่มีผู้ศรัทธา ปรารถนา ที่จะมีความเข้าใจความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ท่านอาจารย์ก็มีเมตตา เดินทางไปเกื้อกูลแก่ท่านเหล่านั้น โดยเท่าเทียมเสมอภาคกัน ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำกิจการงานใดๆ ทั้งสิ้น โดยจุดประสงค์ เพียงประการเดียว ที่ท่านกล่าวว่า เพียงเพื่อให้เขาได้เข้าใจธรรมะ ซึ่งเป็นความซาบซึ้งใจของทุกๆ ท่าน ในความเมตตาอย่างยิ่งของท่านอาจารย์
ในวาระอันแสนวิเศษนี้ ยิ่งข้าพเจ้าได้เห็นท่าน ในวัย ๘๘ ปี เดินด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำกล่าวของ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ที่ได้กล่าวไว้อย่างไพเราะลึกซึ้งยิ่ง เมื่อคราวสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสครบอายุ ๗ รอบของท่านอาจารย์ ที่ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ มีใจความ ว่า
"...ท่านอาจารย์ อุทิศชีวิตทั้งชีวิต ทั้งกายและใจ เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก สำหรับผู้อื่น อย่างแท้จริง ท่านอาจารย์ เป็นผู้เกิดมา เพื่อความเข้าใจ ของผู้ที่สั่งสมเหตุที่ดีมา ที่จะได้ฟังพระธรรม ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ได้รับประโยชน์จากใคร ก็จะมีความปรารถนาดี ให้ผู้นั้น มีอายุยืนนาน ชีวิตของผู้มีปัญญา ยิ่งมีอายุยืนนานเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มากเท่านั้น..." กราบเท้าท่านอาจารย์ ครับด้วยเนื้อความที่ยาว และพื้นที่ของภาพที่จะนำมาประกอบมีน้อย จึงขออนุญาตทุกท่านแทรกภาพของในส่วนของภัตตาคาร ในโรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ ที่พี่ต่ายพาท่านอาจารย์และคณะฯ ขึ้นไปรับประทานอาหารบนชั้นที่ ๑๒ ของโรงแรม ซึ่งมีบรรยากาศที่สวยงาม ด้วยตั้งใจที่จะให้ทุกท่าน ได้พักสายตาไปด้วยในขณะที่อ่าน และ พิจารณาข้อความ นะครับ
โดยส่วนตัว เมื่อได้เห็นภาพ บรรยากาศดังกล่าว ก็รู้สึกอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพ คือ พี่ต่ายและลูกชาย ที่นอกจากจะมีเมตตาให้ทุกท่านในวันนั้น ได้มีโอกาสได้ฟังธรรมทานอันเลิศแล้ว ยังมีกุศลเจตนาให้ทุกๆ ท่าน ได้ลิ้มรสอาหารอร่อยๆ ในบรรยากาศที่สวยงาม สะดวกสบาย เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ผ่านไปด้วยความประทับใจอย่างยิ่ง ครับ
"...ในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตนพอจะรู้จะเข้าใจสัทธรรมได้..."
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๔
คุณสดศรี สัมพันธ์ วันนี้ ที่ร้านหนู มีความดีใจมาก เพราะว่าหนูนึกไม่ถึง ว่าจะมีวันนี้ ตอนสมัยที่หนูฟังใหม่ๆ ที่พี่อุไรมาชวนไปฟังพระธรรม หนูก็บอกว่า หนูยังไม่แก่ ยังห่วงแม่ ห่วงลูก ห่วงการค้าขาย อะไรอย่างนี้ ยังไม่ไป จนพี่อุไรชวนมาเป็นเวลา ๓ - ๔ เดือน มานั่งคุยกัน หนูก็ไม่เข้าใจ หนูไม่ค่อยเป็นคนขัดคอคน ก็ฟังไปอย่างนั้น
เสร็จแล้ว หนูก็ไปฟังที่บ้านคุณหญิงนพรัตน์ พอขายของเสร็จ ตี ๒ หนูกับลูกชาย ตอนนั้นยังเล็กอยู่ ก็นั่งแท๊กซี่ไป ก็ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ ท่านอาจารย์ยังเคยถามหนูว่า คุณต่าย เดี๋ยวนี้ยังหลับอยู่หรือเปล่าคะ? (หัวเราะกันครืน) แล้วลูกชายหนูตอนเล็กๆ ก็ถามหนูว่า แม่ อีกหน่อย แม่ไม่มีคำว่า สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณต่าย บ้างหรือ? ตอนนั้นลูกชายยังเล็กค่ะ หนูก็บอก อุ้ย..มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะแม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ฟังไปเถอะ ว่าเป็นสิ่งที่ดี ก็ฟังไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ง คุณน้า (ศุกล กัลยาณมิตร) ก็มาเกื้อกูล หนูก็นั่งฟัง ฟังอย่างเดียว กว่าหนูจะเริ่มเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องธรรมะ ที่ท่านอาจารย์สอนมาเกี่ยวกับเรื่องสภาพธรรม ก็เป็นเวลา เกือบ ๑๕ ปี แล้ว วันนี้ หนู กลุ่มโบ๊เบ๊ ดีใจมากเลยค่ะ ที่มีวันนี้ หนูนึกไม่ถึง คาดไม่ถึงเลยค่ะ
ท่านอาจารย์ ถอยไปเมื่อ ๑๔ ปีก่อน ใครจะรู้ว่ามีวันนี้ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น อีกกี่วัน กี่เดือนก็ตาม แต่เราก็ไม่รู้ว่า ความเข้าใจธรรมะ ที่ได้เข้าใจแล้ว ก็จะทำให้ เราเข้าใจขึ้น ไปอีกเรื่อยๆ
ครับ ใครเลยจะนึกว่า ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์ มาแล้ว สู่สถานที่นี้ เพื่อเกื้อกูล ให้ทุกคน ได้รับรสของพระธรรม อันเลิศที่สุด มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนอีกเช่นเคย มาให้ทุกท่านได้พิจารณา เป็นข้อความที่ประทับใจ ที่อยากจะนำเสนอให้ทุกท่านได้พิจารณา ซึ่งอาจยาวพอควร ด้วยเห็นว่า ในระยะนี้ ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงคำว่า "เกรงใจอกุศล" อยู่โดยบ่อยประกอบกับ ความเข้าใจส่วนตัวของข้าพเจ้าเอง ว่าในความหมายอันลึกซึ้งของคำกล่าวนี้มีนัยสำคัญ ที่ทุกคนจะได้พิจารณา เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจที่ถูกต้องในพระศาสนาและพิจารณาตนเอง ในกิจหน้าที่ของชาวพุทธที่แท้จริง ในอันที่จะปกป้องดูแลพระศาสนาก็ขออนุญาตนำความบางตอน มาให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณาเช่นเคยนะครับ
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นการสนทนาธรรมะ เพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงนะครับ เพราะว่า การพบปะกัน สิ่งที่จะนำมาซึ่งความเข้าใจธรรมะ ก็คือ การกล่าวในสิ่งที่มีจริง ซึ่งถ้าหากว่า มีประเด็นที่จะร่วมสนทนากับท่านอาจารย์ ก็ขอเชิญนะครับ ซึ่งหลายท่านทีเดียว ก็คงจะได้ฟังรายการ แนวทางเจริญวิปัสสนา ซึ่งมีอยู่หลายช่วงเวลา อย่างเมื่อเช้านี้ ก็ชัดเจนมากเลย นะครับ ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาถึงเรื่องของความเป็นจริงของธรรมะ ที่เป็นกุศล ที่เป็นอกุศล แล้วก็สภาพธรรมะอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เป็นไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนมีจริงๆ ซึ่งจะเข้าใจได้ ก็ต้องอาศัยการศึกษา การฟัง ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง กระผมก็ขออนุญาต กราบเรียนท่านอาจารย์เป็นประเด็นแรกเลยนะครับ สืบเนื่องมาจากที่ได้ฟังรายการธรรมะเมื่อเช้าที่กล่าวถึง สิ่งที่มีบ่อย มีมาก ในชีวิตประจำวัน ก็คือ อกุศลธรรม ซึ่งมีมาก ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ ห้ามไม่ได้ที่จะให้เกิดขึ้น เป็นธรรมะที่เกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย ในขณะที่อกุศลมีมากอย่างนี้ ซึ่งถ้าหากว่า ศึกษาผิด ศึกษาเผิน ก็จะมีตัวตนที่จะไปบังคับ ไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น ไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ผิดทางแล้ว การที่จะเข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมะ ที่เป็นอกุศลธรรม ว่าไม่ใช่เรา หนทางที่ถูกต้อง จะเป็นอย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์ เฉพาะอกุศลธรรมหรือคะ?
อ.คำปั่น ก็ธรรมะที่มีจริงทุกอย่างครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าความละเอียดของธรรมะ มาก จนกระทั่ง เมื่อฟังแล้วเข้าใจขึ้น ก็จะรู้ว่า ละเอียดอย่างยิ่ง เช่น ระหว่างที่คุณคำปั่นพูด ใครไม่เห็นอะไรบ้างไหม? ดิฉันเห็นตุ๊กตา หลายตัว (หัวเราะ)
แล้วลองคิดดูสิคะ ว่าขณะที่เห็นเป็นอะไรนี่ อกุศลหรือเปล่า? แค่นี้ค่ะ ชอบไหม? ตัวไหน?ชอบกระต่ายอ้วน หรือว่าจะชอบอะไร? เห็นไหม? เร็วมาก....เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันจริงๆ ให้รู้ว่า ความไม่รู้ มากแค่ไหน? เพราะเพียงแค่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็พอใจ แต่ว่า ก่อนที่จะเป็นอย่างนี้ สภาพที่ปรากฏ กระทบตา เกิดดับ นับไม่ถ้วน กว่าจะมีความเข้าใจว่า สิ่งที่เห็น เป็นอะไร แต่ก็มีความพอใจทุกขณะ ที่มีการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เพราะฉะนั้น จะประมาทได้อย่างไร? เห็นไหม? เพราะว่าเราไม่รู้ เราก็เลยประมาท จะศึกษาตรงนั้น จะรู้ตรงนี้ แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่าง ทุกคำ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า เป็นวาจาสัจจะ "คำจริง" แม้แต่ว่า เห็นอะไรหรือเปล่า? เดี๋ยวนี้ !!!
กำลังฟังธรรมะ ก็เห็นตุ๊กตาเยอะแยะ ชอบไหม? ก็ชอบ เห็นไหม? ก็เป็นโลภะ เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า การฟังธรรมะ เป็นสิ่งซึ่งรู้ว่า "มีโอกาสฟังโดยยากยิ่ง" มีเสียงกระทบหู "รู้สิ่งที่ได้ฟัง โดยยากยิ่ง" แม้แต่การจะมีโอกาสได้ฟังก็ยาก ใช่ไหม? อยู่ตั้งหลายวัน วันนี้ได้ฟัง อยู่ที่นี่มาตลอด ใช่ไหม? กี่วัน? วันนี้ก็ได้ฟัง เมื่อฟังแล้ว ยังรู้ คือ เข้าใจถูก ในสิ่งที่ได้ฟัง โดยยากยิ่ง นี่คือ เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ถ้าเป็นผู้ที่ประมาท ก็คิดว่า พระธรรม ไม่ต้องศึกษาก็ได้ ศึกษาเผินๆ ก็ได้
แต่เพียงครู่เดียว เมื่อกี้นี้ ที่เห็นเป็นกระต่าย เห็นเป็นนกเพนกวิน เห็นเป็นอะไรพวกนี้...เห็นเป็นลิง... (อกุศล) เกิดแล้ว เร็วมาก...แล้วจะเอาอกุศลเหล่านี้ออก ได้อย่างไร? เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่เพียงให้เป็นคนดี แต่ว่า สามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เห็นไม่ได้แน่ ได้ยินแต่เรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่กำลังมีสิ่งมีจริงๆ ขณะนี้ และ เมื่อปัญญา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อนั้น จึงจะสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น พอได้ยินว่า อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาดก แต่ละชีวิตที่ผ่านมา กว่าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เหมือนธรรมดาทุกคน แต่ว่า ไม่ขาดการที่จะเห็นประโยชน์ ของการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ยังไม่รู้ ก็ยังไม่รู้ ยังไม่รู้ จะให้รู้ ก็ไม่ได้ แต่หนทางมี แต่หนทางนี้ ต้องเป็นหนทางละ ถ้าไม่รู้ ก็ละไม่ได้ อยู่ดีๆ ใครจะไปบอกว่า ละโลภะ ไม่ให้เป็นอย่างนั้น ไม่ให้เป็นอย่างนี้ คนนั้นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะว่า ไม่รู้ว่า สิ่งที่มี เกิดแล้ว มีปัจจัยให้เกิดเป็นอย่างนี้ ใครจะไปทำให้ไม่เกิดได้
เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อสะสมความเข้าใจถูก ทุกโอกาส เพราะว่า ไม่มีใครรู้เลยว่า ชาติหน้า เมื่อไหร่? เย็นนี้ก็ได้ แล้วทั้งวัน ถ้าเราไม่มีโอกาสได้เข้าใจธรรมะ ก็สูญเปล่า เพราะว่า เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ตลอดเวลาที่ไม่ได้ฟังธรรมะ ส่วนใหญ่ อกุศลทั้งนั้น น้อยครั้งมาก ที่เป็นกุศล แต่กุศลก็มีบ้าง จากอัธยาศัยที่ช่วยเหลือคนอื่น หรือ คิดถึงคนอื่น เล็กๆ น้อยๆ ไปเรื่อยๆ ก็แสดงให้เห็นว่า พอมีบ้าง แต่ว่า ยังไม่สามารถที่จะละอกุศลได้ เพราะเหตุว่า ยังไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมะ ที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แม้แต่เพียงว่า สิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏให้เห็นได้
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ละเอียด แล้วก็ลึกซึ้งจริงๆ ที่ฟังแล้ว ก็เข้าใจ เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ก็คือว่า โลภะ อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ พอได้ฟัง ก็อยากรู้ อยากเข้าใจ ก็ไม่มีทางเลย ถ้าเป็นแบบนั้น นอกจากรู้ว่า ความยากยิ่ง สามารถที่จะอบรม ให้ค่อยๆ เป็น ความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น ในสิ่งที่มีจริงๆ มิฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ ก็ยังยากต่อไป ใช่ไหม? ถ้าเราไม่เป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ
เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจขึ้น ในสิ่งที่กำลังมี ทีละเล็ก ทีละน้อย เข้าใจมาก เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่า ที่เคยเห็น เป็นสัตว์ เป็นคน เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรจะไปลบล้าง อัตตสัญญาได้ จนกว่า ความเข้าใจ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ห้ามไม่ได้ แต่ว่า เข้าใจขึ้นได้
เพราะฉะนั้น ก็สะสมความเข้าใจ โดยความเป็นผู้มีปรกติ ทุกคำในพระไตรปิฎก เปลี่ยนไม่ได้ เพราะว่า ปรกติ คือ เดี๋ยวนี้ !!! เกิดแล้ว เป็นอย่างนี้ ก็เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น
ยากไหม? ถูกต้อง ใครบอกว่ายากนี่ ถูกต้อง เปลี่ยนเป็นง่าย ได้ไหม? ไม่มีทางเลย สำหรับผู้ที่เข้าใจ แต่ถ้าผู้ที่ไม่เข้าใจ จะไม่คิดอย่างนี้เลย ผู้ที่เข้าใจแล้ว จะเห็นพระคุณจริงๆ ตั้งแต่พระปัญญาคุณ ที่ได้ทรงตรัสรู้ สิ่งซึ่งกำลังปรากฏ ซึ่งแสนยาก พระบริสุทธิคุณ ทรงแสดงธรรมะ เพื่อเรา เราไม่ได้ไปขอร้องเลย ไม่รู้ว่าจะพบกันกี่ชาติ ตอนเป็นพระโพธิสัตว์ พบหรือเปล่าก็ไม่รู้? แต่จะไปขอร้องได้ไหม? ไม่ได้เลย เพราะรู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ถ้าสะสมเหตุที่สมควร ที่จะได้ฟังธรรมะ ก็ได้ฟัง แล้วก็ เมื่อฟังแล้ว มีความเข้าใจแค่ไหน ก็สะสมต่อไปอีก เพื่อที่จะละความไม่รู้
สำคัญที่สุด คือ ต้องมั่นคงว่า เพื่อละความไม่รู้ ในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ซึ่ง ความจริงแล้ว เกิดดับ เร็วมาก แต่ปรากฏ เหมือนไม่ได้ดับไปเลย ยังมีอยู่ รูปภาพ เสื้อ ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ยังมีอยู่ ไม่เห็นดับไปสักที เพราะว่า ปัญญาไม่พอ ที่จะรู้ความจริงว่า ขณะที่เห็น เพียงแค่เห็นก็ดับแล้ว ยังไม่ใช่การคิดถึง รูปร่างสัณฐาน ว่านี่เป็นสิ่งนั้น เป็นนก หรือว่า นี่เป็นอะไร ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ชีวิต เป็นการเกิดดับสืบต่อ ที่เร็วมาก สุดที่จะประมาณได้อย่างลูกข่างที่หมุนไป ถ้าช้า เราก็พอมองเห็นได้ ล้มไปเลย แต่ว่า ที่ตั้งอยู่ได้ เพราะความเร็ว สิ่งที่เหมือนมั่นคง ตั้งอยู่ได้ ก็เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว นี่เป็นคำที่ ชาติหนึ่ง จะมีโอกาสได้ฟังกี่ครั้ง? และ ฟังแล้ว ก็เห็นถูกต้อง ตามที่ได้ฟัง
แล้วก็มีความอดทน ที่จะรู้ว่า ผู้ที่ตรัสรู้ความจริง ได้ทรงแสดงแล้ว และ เราก็มีโอกาส ที่จะได้ฟังด้วย แม้ว่า พระผู้มีพระภาคฯ จะปรินิพพานไป นานแสนนาน แต่ ผู้ที่ได้สะสมบุญไว้ มีโอกาสได้ฟัง แต่ต้องไม่ลืม "เพื่อละ" แล้วก็ "ปรกติ" เพราะว่า ทุกอย่าง เกิดแล้ว ทุกคำ ก็คือ ฟังไว้ ให้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนกว่า สามารถจะรู้ ตรงตามที่ได้ฟัง ทุกอย่าง
คุณน้าศุกล กัลยาณมิตร ที่ท่านอาจารย์พูดว่า พระไตรปิฎกไม่ใช่มีไว้เพื่อการอ่าน แต่มีไว้ เพื่อการศึกษา ขอความเข้าใจในส่วนนี้ ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าอ่าน จะเจอคำว่า ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา อ่านแล้ว อ่านแล้วหลายครั้ง ศึกษาหรือเปล่า? หรือ แค่อ่าน? ถ้าศึกษา ต้องเข้าใจ
คุณน้าศุกล กัลยาณมิตร เพราะฉะนั้น ศึกษาจริงๆ หมายความว่าอย่างไร?
ท่านอาจารย์ เข้าใจไงคะ เข้าใจพุทธพจน์ เข้าใจโวหาร ที่ทรงแสดง โดยนัยต่างๆ ไม่ใช่อ่าน อ่านแล้วเข้าใจหรือเปล่า? ทุกอย่าง เป็นธรรมะ ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา อ่านไปสิบครั้ง ร้อยครั้ง เข้าใจ "เดี๋ยวนี้" ไหม? ว่าอะไรเป็นธรรมะ? อะไรเป็นอนัตตา?
คุณนิภาพร ปราการรัตน์ กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ มีคนสมัยนี้กล่าวว่า จะไปสังคายนาพระไตรปิฎก ที่อินเดีย ไม่ทราบว่าจะเป็นไปได้แค่ไหน?
ท่านอาจารย์ เก่งมาก (ทุกคนหัวเราะ) เก่ง แต่ไม่ใช่ปัญญา เพราะว่า คนที่จะสังคายนา เข้าใจพระไตรปิฎกหรือเปล่า? ถ้าไม่เข้าใจ สังคายนาอะไร? ใครจะมีปัญญา ที่จะสังคายนา? สังคายนาแปลว่าอะไรคะ? คุณคำปั่น
อ.คำปั่น โดยความหมายของสังคายนา ก็หมายถึง การกล่าวพร้อมกัน ตรงกัน ในพระธรรม คำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ครับ อย่างเช่น แสดงถึงธรรมะ หมวดต่างๆ ที่ท่านได้ฟังมา ก็กล่าวตรงกัน ตามที่ได้ยิน ได้ฟัง แม้แต่พระวินัยปิฎก ที่บัญญัติแต่ละสิกขาบท ที่พระองค์ทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง ซึ่งพระภิกษุผู้ที่ทรงพระวินัย ท่านก็สามารถที่จะกล่าว ในสิกขาบทนั้นๆ แล้วก็เป็นที่ยอมรับตรงกัน ในคำที่กล่าวถึง ซึ่งก็เป็นพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงทั้งหมด ครับ ซึ่งโดยความหมายก็คือ การกล่าวตรงกัน พร้อมกัน ในพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงทั้งหมด ทั้งพระวินัย พระสูตร แล้วก็พระอภิธรรม ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราทุกคนที่นี่ จะกล่าวพร้อมกัน ตรงกันอย่างนั้น ได้ไหม? แล้วใครจะกล่าวพร้อมกัน ตรงกันอย่างนั้นได้? แล้วจะไปสังคายนาอะไร? ไม่ใช่ท่อง เพราะฉะนั้น เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ให้รู้ความจริง ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ อะไรถูก อะไรผิด อะไรใช่ อะไรไม่ใช่ แม้แต่ที่จะสังคายนา ก็ทำให้เราสามารถที่จะรู้ได้ว่า ใช่หรือเปล่า? ถูกหรือเปล่า? คนที่ไม่มีความรู้ จะสังคายนาได้อย่างไร? หรือว่า มีความรู้ เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น ที่สังคายนา
"เกรงใจอกุศล" ไหม?
คุณวันชัย ภู่งาม กราบท่านอาจารย์ครับ พอดี เรื่องคำนี้ กำลัง...ถ้าพูดภาษาวัยรุ่น ก็กำลังอินเทรนด์ ในความรู้สึกของผม แล้วก็ในความเข้าใจว่า ระยะนี้ ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่อง "เกรงใจอกุศล" บ่อยๆ แล้วก็ ในความเข้าใจไปถึงเรื่องของโลก ก็คือ เรื่องวาระของชาติ เรื่องการจะปฏิรูป ในความเข้าใจของผมว่า อาจจะเป็นวาระหนึ่ง ที่พระศาสนาจะเฟื่องฟู จากการที่จะมีบุคคล ที่มีความเข้าใจ จะได้ทำตามกำลัง ซึ่งในความเป็นจริง ก็ได้ทำกันอยู่โดยตลอด ท่านอาจารย์ก็ทำมา ๕๐ กว่าปี ๖๐ ปี นะครับ
เมื่อวาน ผมก็ได้ลงกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิฯ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไปกระทู้หนึ่ง เป็นเรื่องที่เราได้สนทนากัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง กราบเรียนท่านอาจารย์ เรื่องที่ว่าไปฟังเทศน์มหาชาติ แล้วก็มีการเทศน์แหล่ ซึ่งท่านเห็นว่าไม่เหมาะสม ซึ่งเมื่อวาน ผมก็ส่งกระทู้นั้นไปให้ท่านอ่าน แล้วท่านก็โทรมาปรึกษา ว่าท่านจะนำเรื่องอื่นๆ เข้าไปสนทนาที่มูลนิธิฯ ผมก็กล่าวอนุโมทนา แต่ว่า ท่านก็ถามว่าจะสมควรไหม? อย่างไร? ว่าจะสนทนากับท่านอาจารย์ ในเรื่องต่างๆ
เพราะว่า หลังจากวันนั้น ที่ได้สนทนาที่มูลนิธิฯ ท่านก็ได้ไปที่โรงพยาบาล แล้วท่านก็ได้คุยกับหัวหน้าพยาบาล ที่นิมนต์พระภิกษุมาเทศน์ในวันนั้น ท่านก็ได้สนทนาถึงเรื่องความเข้าใจ แล้วก็จุดประสงค์ของเขา ว่าเขาได้สมประสงค์หรือไม่ ในการที่เชิญพระภิกษุมา เขาก็บอกว่าเขารู้สึกว่าเขาดีใจมาก แล้วก็รู้สึกว่าเป็นบุญมาก แต่ท่านก็ได้ตอบหัวหน้าพยาบาลไปว่า ท่านไม่เห็นอย่างนั้น ท่านได้ศึกษาพระศาสนามา ท่านเห็นว่า เป็นการไม่สมควร ที่ภิกษุจะเทศน์ในลักษณะแหล่แบบนั้น แล้วก็มีการสนทนาที่ไม่สมควรเลย ไปบอกให้คนมาติดกัณฑ์เทศน์ เรี่ยไร เทศน์จบไปหนึ่งกัณฑ์ ก็เรี่ยไร อะไรอย่างนี้ นะครับ ท่านก็คุยประมาณสิบนาที แล้วท่านก็คิดว่า อันนี้ ควรจะเป็นเรื่องที่เราจะได้ปรับปรุงแก้ไข หรือว่า จะทำอย่างไร? อะไรอย่างนี้
ผมก็เรียนท่านไปว่า พี่ครับ ขนาดคนใกล้ตัวเรายังยาก ที่จะได้สนทนา ไม่ว่าพี่น้องของเรา หรืออะไรก็ตาม ความเข้าใจจากการได้ศึกษาพระธรรม ในแนวทาง ที่ท่านอาจารย์บรรยาย เมื่อรู้แล้วใหม่ๆ ก็จะรู้สึกว่าตื่นเต้นกัน แล้วก็พยายามที่จะให้คนอื่นได้รู้ด้วย แต่พอสักพักหนึ่ง ก็รู้สึกจะเหี่ยวเฉาลง (หัวเราะ) ผมเข้าใจว่า เมื่อเข้าใจมากขึ้น ความติดข้อง ในการที่จะไปบังคับธาตุอื่นๆ ทั้งหลาย ที่ท่านอาจารย์แสดงว่า ธาตุดินก็เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำก็เป็นธาตุน้ำ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ ความเห็นผิดก็เป็นความเห็นผิด แต่ว่า เกื้อกูลได้ เมตตาได้ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาแสดง บ่อยๆ ผมก็ได้สนทนากับพี่เขาไปว่า คงจะไปตอบพี่ไม่ได้ ว่าจะควรประการใด? อย่างไร? แต่พี่ต้องไม่ลืมว่า ท่านอาจารย์เคย คือ ผมฟังในเทป มีหลายท่านที่มาฟังท่านอาจารย์แล้วรู้สึกตื่นเต้น แล้วก็บอกว่า แล้วทำไมเราไม่ทำให้คนอื่นได้เข้าใจ ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า ทำมาตลอด ๕๐ กว่าปี วิทยุกี่ช่อง ไม่ใช่น้อยๆ เลย ที่กรุงเทพฯนี่ ตั้งเป็นสิบช่อง ที่คุณพรชัยประกาศ เพราะฉะนั้น ไม่ได้ไม่ทำ หนังสือก็เยอะมาก แต่เข้าใจว่า ก็เป็นไปตามกำลัง ทุกคน ทำอยู่แล้ว
ที่จะกราบเรียนท่านอาจารย์ ในวันนี้ก็คือว่า ระยะนี้ จากการที่ว่า ท่านอาจารย์พูดเรื่อง เกรงใจอกุศล อยู่โดยบ่อย แล้วก็อีกอันหนึ่ง ที่ผมมีความรู้สึกว่าท่านอาจารย์ เหมือนที่พี่แอ๊วพูด ขอประทานโทษ เมื่อวาน ที่ท่านอาจารย์พูดที่บ้านคุณจักรกฤษณ์ เรื่องว่า "แรง" หลายคน ไม่เชื่อว่าท่านอาจารย์ จะใช้คำแรง ที่พี่แอ๊วถามท่านอาจารย์เมื่อวาน ผมก็เริ่มรู้สึกว่า คำ อย่างที่ว่าอะไรนะครับพี่แอ๊ว "อย่าบังอาจ" ซึ่งท่านอาจารย์ได้เมตตาว่า เมื่อพูดกันด้วยคำดีๆ มามากแล้ว (ก็ยังไม่เข้าใจ) บางที การพูดคำที่มีความหนัก หรือว่า มีความแรงตามที่คนอื่นคิดนั้นน่ะ เขาจะได้คิดบ้างหรือไม่? ว่าเขาทำไม่ถูก เขาไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ในความเข้าใจของผมว่า จากที่ทางมูลนิธิฯเรา ไม่พาดพิงบุคคลที่ ๓ แน่นอน อันนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ในอีกนัยหนึ่ง ในความเข้าใจของทุกคน ถ้าเรามีความเข้าใจ การเกื้อกูลต่อบุคคลภายนอก ด้วยความเข้าใจและด้วยความเมตตา ผมเข้าใจว่าจะเป็นประโยชน์ โดยที่ไม่ได้ห่วง ท่านอาจารย์ก็กล่าวมามาก ว่า อย่าห่วงดิฉัน แต่แน่นอน ถึงไม่ห่วง ก็ห่วง (หัวเราะ) แต่ว่า ก็ไม่ได้หมายความว่า ทำอะไรไม่ได้ อันนี้ ผมเพียงปรารภท่านอาจารย์ครับ ผมอยากจะถามความเห็นของท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ความจริง เป็นความจริง อันนี้แน่นอน ถูกต้องไหม? เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องที่เกิด คำใดก็ตามที่กล่าว หรือ เหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม "พร้อมที่จะอธิบาย" ดีกว่าที่เราจะปล่อยไป แล้วผ่านไป หรือให้คิดกันไปเอง หรือ แก้ไขกันไปเอง เพราะเหตุว่า ตามความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องของธรรมะ ที่เป็นความชัดเจน เพราะฉะนั้น อย่างที่คุณปริญญา เล่าเรื่องของเทศน์มหาชาติ "ไม่เกรงใจอกุศล" ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น ประโยชน์ สำคัญกว่า ใช่ไหม? ถ้าเป็นเรื่องจริง ทุกคำ เป็นความจริง พฤติกรรมอย่างนั้น มีไหม? แล้ว คือ อะไร? เราพูดแต่ภาษาบาลี หิริโอตตัปปะ อหริกะ อโนตตัปปะ พูดแล้ว แต่ อหิริกะ ถึงระดับไหน? ที่จะยังเกรงใจอกุศล? ก็ยังมี แล้วประโยชน์ มีไหม?
เพราะฉะนั้น ที่เวลานี้ ถ้าจะกล่าวถึง "ธาตุ" ในประเทศไทย "ธาตุเลว" มีมาก แล้วไม่ให้พูดหรือ? แล้วถ้าไม่พูด จะรู้ไหม? ถ้าพูดแล้ว โกรธคนพูด (หัวเราะ) คนพูดแรงมาก มีธาตุเลวเต็มบ้าน เต็มเมือง จริงหรือเปล่า? ก็ต้องรับความจริง เราไม่ได้ว่าใครเลย แต่เพราะอะไร จึงเป็นอย่างนี้? เพราะว่า ไม่ได้ศึกษาพระธรรม
แล้วเรามีธงชาติ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ศาสนา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยหรือ?แล้วขึ้นไปอยู่บนเสาธง เป็นธงชาติได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น ก็ต้องแสดงว่า สิ่งสำคัญ ที่ทุกคนเพิกเฉย และ เป็นอันตรายอย่างยิ่ง คือ ไม่สนใจที่จะเข้าใจธรรมะ เพราะฉะนั้น ความมั่นคง จะมีได้แต่ไหน? ในเมื่อ เต็มไปด้วยอวิชชา ความไม่รู้ คุณความดี จะมาจากไหน? นอกจาก ความเห็นแก่ตัว แล้วก็ การที่ทุจริต ต่างๆ เพราะ ความไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราจะเกรงใจอกุศลไหม? หรือว่า สิ่งใดที่ถูก เราก็พูด
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ คุณสดศรี สัมพันธ์ และบุตร
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ คุณสดศรี สัมพันธ์ และบุตร
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ คุณสดศรี สัมพันธ์ และบุตร
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ค่ะ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพคุณสดศรี สัมพันธ์ และบุตร และทุกๆ ท่านที่เกี่ยวข้องครับ และขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัยมา ณ กาลครั้งนี้ ในการถ่ายทอดการสนทนา และภาพที่สวยงามได้ประโยชน์และสาระครบถ้วนเช่นเดิมครับ และได้สาระสำคัญ เรื่อง "เกรงใจอกุศล" ที่ดีมากๆ ครับ คงต้องเกรงใจกุศลให้มากขึ้นด้วยนะครับ
ขอโปรดอธิบายเพิ่มเติมความหมายของคำว่า "ไม่เกรงใจอกุศล"ด้วยค่ะ