นี่คือความเป็นอนัตตา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
กราบเท้า บูชา พระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนา สำหรับกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ
ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)
ขอเชิญรับฟัง....
ไม่มีกฏเกณฑ์ แต่ว่าที่ถามเพื่อที่จะเข้าใจว่า ธรรมะเป็นอนัตตา หรือว่าเป็นอัตตา ชีวิตจริงๆ เป็นธรรมะ และธรรมะก็เป็นอนัตตาด้วย แต่เพราะการไม่รู้ความจริง ไม่เห็น ความเป็นอนัตตา ในขณะที่บอกว่าเป็นทุกข์มาก แล้วก็จะไม่ทำอะไรหรือว่าจะให้ทำอะไรสองอย่างใช่ไหม ขณะที่เป็นทุกข์มากเมื่อไหร่ เมื่อทุกข์เกิดแล้ว ถ้าทุกข์ยังไม่เกิดจะบอกว่าเป็นทุกข์มากได้ไหม ไม่ได้ ทุกข์ที่เกิดแล้วดับมีอย่างอื่นเกิดต่อหรือเปล่า นี่คือ ความเป็นอนัตตา
ถ้าเราจะพูดอย่างชาวโลกว่า ให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ แต่ไม่เห็นความเป็นอนัตตาของธรรมะ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะ จะต่างกับการที่เราคิด ว่าเราจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อแก้ไขเพื่อนโศกเศร้าร้องไห้ เราก็จะต้องปลอบเขา หรืออะไรอย่างนั้นนะคะ ไม่มีใครห้าม ที่จะให้จิตที่ได้สะสมมาเนี่ย คิดอย่างไรทำอย่างไร แต่ให้รู้สภาพธรรมะนั้นเกิดแล้วเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่า เราไปทำให้เกิด อย่างคนที่เป็นทุกข์ บอกว่าทุกข์มาก ทุกข์นั้นเกิดแล้ว ถึงได้กล่าวและรู้ว่าลักษณะนั้น เป็นทุกข์มาก และทุกข์นั้นก็ดับแล้ว อะไรเกิดต่อกลายเป็นเราไปอีกแล้ว
จะต้องทำอะไรกับทุกข์โดยที่ม่รู้ว่าขณะนั้น ทุกข์เกิดสืบต่อเพราะเหตุปัจจัย แม้คิดก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะทั้งหมดเพื่อให้มีความเห็นถูกจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ ความจริงว่าไม่ใช่เรา เลยสักอย่างเดียว คิดที่จะช่วยก็ไม่ใช่เราจะไม่ช่วยก็ไม่ใช่เรา จะหาวิธีใดๆ ทั้งหมดขณะนั้น ก็เป็นสภาพของธรรมะ แล้วแต่ว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แต่มีปัจจัยที่จะเกิด เป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้นให้รู้ความจริงว่าเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ให้ส่งเสริมว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ก็มีตัวตน
ที่ควรจะทำอย่างนี้ ไม่ควรที่จะทำอย่างนี้ แต่ไม่มีความเห็นถูกว่าขณะนั้นเป็นธรรมะ การฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นจะมีการกระทำใดๆ ในวันหนึ่งทั้งหมดเป็นธรรมะแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย แม้ความคิด แต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน ก่อนคิด รู้ไหมว่าจะคิดอย่างนั้น เมื่อคิดเกิดแล้ว จึงรู้เป็นความคิด เป็นกุศลเป็นอกุศล แต่ต้องเกิดแล้วจึงรู้ ไม่ใช่ว่าไปทำให้เกิดเป็นกุศล ไปทำให้เกิดเป็นอกุศลได้
ไม่มีขณะใดเลย ที่จะ ขาดธรรมะเพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะให้ธรรมะเกิดสืบต่ออยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนตายลองหาขณะซึ่งไม่มีธรรมะที่เกิด จึงเป็นธรรมะแต่ละลักษณะ แต่เพราะความไม่รู้ไม่ว่าธรรมะประเภทใดเกิด ก็มีความเป็นตัวตน เพราะความไม่รู้คิดว่าจะทำให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงการฟังธรรมะเพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า แม้คิดก็เป็นธรรมะไม่ใช่เรา เพราะว่าความคิดก็หลากหลายต่างกันด้วย วันนี้คิดอย่างนี้พอฟังเหตุฟังผลคิดอีกอย่างหนึ่ง ตามปัจจัยที่มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง หรือว่ามีความเห็นผิดในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังต้องการที่จะ เข้าใจว่าเป็นธรรมะ หรือว่าต้องการที่จะเป็นเรา ที่จะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ก็เป็นธรรมะที่คิด เพราะว่า มีเห็นมีได้ยินมีได้กลิ่นมีลิ้มรสมีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และมีคิดนึก ในสังสารวัฏฏ์ก็มีอย่างนี้เท่านี้เอง
ถอดคำบรรยายธรรม โดย ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ที่เคารพอย่างสูง
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคุณใหญ่ราชบุรี และผู้ร่วมสนทนาทุกท่านค่ะ
คำจริงจากผู้มีปัญญาเท่านั้นที่ควรฟัง มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และมีคิดนึก ในสังสารวัฏฏ์ ก็มีอย่างนี้ เท่านี้เอง (ขอถามตัวเองต่อไปว่า แล้วติดอะไรคะ ติดความไม่รู้ ถ้าไม่ฟังพระธรรม)