วิญญาณ จิต ใจ ในสภาวะจริงๆคืออะไร
คือเรื่องเป็นอย่างนี้มีสภาวะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า วิญญาณได้พูดกับเราว่า ข้าพเจ้าคือทุกสิ่งที่เป็นสัตว์ เช่น สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา เทพ พรหม เป็นจริงอย่างที่ท่านรับรู้ ท่านสมมติสิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้นเรียกว่าวิญญาณ จิตได้พูดกับเราว่าข้าพเจ้าคือ ความคิด และเกิดขึ้นดับไป ตามแต่ความเข้าใจ ใจจึงรับรู้ว่าเราคือตน และได้เปิดภาวะแล้ว พร้อมเดินทางไปสู่ความจริงแห่งปัญญา สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากถามก็คือ ทำไมวิญญาณจึงสื่อกับเราเหมือนเป็นอีกตนหนึ่ง จิตทำไมจึงสื่อกับเราเหมือนเป็นอีกตนหนึ่ง และเราทำไมเป็นใจ แต่ทั้งสามอย่างทำงานเหมือนเป็นเรา และเป็นอย่างเดียวกัน ให้ความรู้แก่เรา ข้าพเจ้าขอคำอธิบาย จากท่านผู้ที่เห็นจริงในสภาวะที่มีประสพการณ์ โดยแท้ด้วยเถิด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิญญาณ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นนามธรรม แปลตามศัพท์ได้ว่า เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้ง (ซึ่งอารมณ์) เป็นสภาพธรรม ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้งอารมณ์ วิญญาณ กับ จิต เป็นสภาพธรรมอย่างเดียวกัน มีพยัญชนะหลายประการ ที่หมายถึง จิต เช่น มนะ หทยะ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ วิญญาณธาตุ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาได้เข้าใจถึงลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แต่ละบุคคลมีด้วยกันทั้งนั้น (ในชีวิตไม่ปราศจากจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว) หนึ่งในนั้น คือ วิญญาณ ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงเป็นธรรมอย่างเดียวกัน ต่างกันเพียงพยัญชนะเท่านั้น วิญญาณไม่มีการล่องลอย ไม่มีรูปร่าง วิญญาณเป็นธรรมประเภทหนึ่ง เมื่อเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย จิตขณะหนึ่งดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที เป็นอย่างนี้อย่างไม่ขาดสาย จนกว่าจะสิ้นสุดสังสารวัฏฏ์
วิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายถึง วิญญาณล่องลอย ที่เป็นผี ตามที่เข้าใจกัน แต่หมายถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ คือ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ เรียกว่า วิญญาณ คือ จิตนั่นเอง ครับ ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงวิญญาณ ก็คือสภาพธรรมที่เป็น จิต ซึ่งมีหลายประเภท เช่น จักขุวิญญาณ หรือ จิตเห็น โสตวิญญาณ หรือ จิตได้ยิน เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อ วิญญาณ หรือ จิต เกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เช่น จิตเห็น (จักขุวิญญาณ) เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น คือ สีที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตาเป็นต้น วิญญาณจึงไม่ได้หมายถึง ผี ตามที่เข้าใจกัน ครับ แต่ วิญญาณ หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นจิต มีลักษณะเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ ครับ
ส่วนชีวิตหลังความตายนั้น โดยมากเข้าใจว่า ตายแล้วเป็นผี แต่ความจริงนั้น ทันทีที่จุติ คือ จิตขณะสุดท้ายซึ่งทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นดับไป ปฏิสนธิจิต คือ จิตขณะแรกของชาติต่อไปก็เกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น แล้วแต่ว่าปฏิสนธินั้นเป็นผลของกรรมใดที่ทำให้เกิดในภพภูมิใด ถ้าเกิดในนรกก็ไม่มีใครมองเห็น เมื่อไม่เห็นสัตว์นรก ก็กล่าวว่าไม่เห็นผีแต่ถ้าเกิดในภูมิที่สามารถจะปรากฏกายให้เห็นได้ คือ ขณะที่เป็นบุคคลที่ตายไปแล้วปรากฏร่างเหมือน ที่เคยมีชีวิตอยู่ ก็เข้าใจว่าเห็นผี ความจริงเทวดาก็ปรากฏให้เห็นได้เหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าผีหรือเปล่า หรือจะเรียกว่า ผี เฉพาะผู้ที่ตายแล้วเกิดเป็นเปรตและอสุรกายเท่านั้น ดังนั้นตายแล้วเกิดทันที และยังเห็นบุคคลที่ตายอยู่ ไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อน แต่เกิดในภพภูมิที่เป็นเปรต หรือ อสุรกาย ก็ได้ ครับ
เมื่อมีผู้สิ้นชีวิตละจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือ เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็ต้องเป็นไปตามกรรมของตนๆ เมื่อกรรมดีให้ผลก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ เมื่ออกุศลกรรมให้ผลก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ และสิ่งที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็คือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ไม่ใช่การทำอย่างอื่น เช่น นิมนต์พระสงฆ์มาสวดส่งวิญญาณ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จากความเป็นจริง ไม่ได้เป็นไปตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสัตว์ที่ตายแล้ว ก็ต้องเกิดทันที เป็นไปตามกรรมของตน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับว่ามีผู้มาสวดส่ง ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจในเหตุในผลจริงๆ เมื่อได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว การกระทำในสิ่งผิดๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า จิต คือ อะไร
ตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิต หมายถึง สภาพรู้ อาการรู้ ลักษณะรู้แจ้งอารมณ์ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ และคำว่า จิต นี้ ยังมีชื่อที่ใช้แทนคำว่าจิตในบางแห่งอีกมาก เช่น มโน มนัส ปัณฑระ หทัย วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มนายตนะ เป็นต้น
จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่สั้นแสนสั้น มีอายุเพียงแค่ขณะที่เกิดขึ้น ขณะที่ตั้งอยู่ และขณะที่ดับไปเท่านั้น เมื่อจิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เมื่อกล่าวถึงจิตแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องมีเฉพาะจิตเพียงอย่างเดียว เท่านั้น ยังมีสภาพธรรมอีกประเภทที่เกิดร่วมกับจิตนั้นด้วย เมื่อเกิดร่วมกับจิต ก็ต้องรู้อารมณ์เดียวกันกับจิต ดับพร้อมกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็ต้องอาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิตด้วย สภาพธรรมที่กล่าวนั้น คือ เจตสิก จิตและเจตสิกไม่ได้สถิตย์อยู่ที่ไหน เพราะเกิดแล้วดับแล้ว และในขณะที่เกิดนั้น ก็จะต้องมีที่อาศัยเกิดของจิตและเจตสิกด้วย ที่เกิดของจิตและเจตสิก เรียกว่า วัตถุรูป ไม่ได้มีเฉพาะหทยวัตถุเท่านั้น ที่เป็นที่เกิดของจิต ยังมีอีก ๕ วัตถุรูป อันเป็นที่เกิดของจิตและเจตสิก ได้แก่ จักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) โสตวัตถุ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ฆานวัตถุเป็นที่เกิดของฆานวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ชิวหาวัตถุ เป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) และกายวัตถุ เป็นที่เกิดของกายวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) จิตที่เหลือทั้งหมดนอกจากที่กล่าวมาแล้ว เกิดที่หทยวัตถุทั้งหมด จิตและเจตสิกจะเกิดที่อื่นไม่ได้ นอกจากเกิดที่วัตถุรูป ๖ รูป ตามสมควรแก่จิตประเภทนั้นๆ [ถ้าเป็นในอรูปพรหมภูมิไม่มีรูปธรรม มีเฉพาะนามธรรม จิตและเจตสิก อาศัยกันและกันเกิดขึ้น]
จิต เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีเป็นจริงอย่างนี้ และมีจริงในชีวิตประจำวันด้วย ไม่เคยขาดจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณท่านผู้รู้ ข้าพเจ้าอยากจะรบกวนเรียนถามท่านอีกรอบ คือ สิ่งที่ข้าพเจ้าถามท่านหมายถึงวิญญาณที่เป็นตนจริงๆ จิตเป็นตนจริงๆ ใจที่เป็นตนจริงๆ ที่คุยกับตัวข้าพเจ้าแม้ว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจว่าเป็นสภาวธรรม และมีสิ่งที่เกิดขึ้นอีกว่า สติก็เป็นตน ปัญญาก็เป็นตน และสิ่งที่คุยกับข้าพเจ้าที่อ้างว่าเป็น วิญญาณ,จิต,ใจ,สติ,ปัญญา ที่มาแสดงตนว่าเป็นสิ่งนั้น และเขาได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็จักเป็นสิ่งเดียว ไม่มีจรีง ไม่มีเท็จ ข้าพเจ้าจึงถามผู้รู้ว่า ตัวข้าพเจ้าวิปปลาสไหมท่าน ขอความกรุณาท่านตอบด้วยเทิด
ขณะใดที่สติไม่เกิด ขณะนั้นเป็นสัญญาวิปปลาส จำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน ค่ะ