ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน"
ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยกรุณาให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับคำนี้ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เป็นการแสดงถึงความจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคลใดๆ ทั้งสิ้น ที่สมมติ เพราะมีแต่ธรรม
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล จึงแสดงถึงความจริงที่เป็น อนัตตา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงแสดงตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล ครับ
เชิญคลิกฟังเพิ่มเติมที่นี่ครับ
เหตุใดจึงกล่าวว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน
เชิญอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
ผู้ที่ตรัสรู้แล้วเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เห็นสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่ผู้ยังไม่ตรัสรู้อริยสัจจธรรม จะปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังเห็นคน กำลังเห็นวัตถุ กำลังเห็นสิ่งต่างๆ
เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่อนัตตา ต้องรู้ว่ายังไม่เข้าใจในลักษณะที่เป็นอนัตตาของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น จะอบรมเจริญอย่างไร จึงจะประจักษ์สภาพความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วจึงจะเข้าใจความหมายของอนัตตาแท้ๆ ว่าเป็นอนัตตาจริงๆ ที่เคยเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ยังเป็นอัตตาอยู่
เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเริ่มเข้าใจว่าเห็นอะไร ที่กำลังเห็น เป็นโลกสว่างที่คนตาบอดไม่มีโอกาสจะเห็น นี่คือสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ถ้าลองคิดถึงคนที่ตาบอดไม่มีโอกาสรู้ลักษณะของโลกสว่าง ของสภาพสว่างที่กำลังปรากฏทางตาเลย ก็จะค่อยๆ ระลึกได้ว่านี่เป็นโลกหนึ่ง เป็นสภาพหนึ่ง เป็นของจริงอันหนึ่ง ซึ่งคนตาบอดไม่มีโอกาสจะเห็นเลย
เพราะฉะนั้น คนตาดีชินกับการเห็น เลยเห็นว่าการเห็นเป็นปกติเป็นธรรมดา ซึ่งความจริงต่างกับความมืดสนิทจริงๆ ถ้าลองหลับตาอยู่นานๆ ให้มืดสนิทจริงๆ นานๆ ก็จะเห็นได้ว่าโลกที่ลืมตาขึ้นมา เป็นอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกของความจริงเป็นโลกที่สว่าง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ล้วนแล้วแต่แสดงถึงความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงที่เป็นจริงแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ว่าจะยกธรรมใดขึ้นกล่าว เช่น ความเห็นถูก ความเห็นผิด เป็นต้น ก็เป็นอนัตตาทั้งหมด
ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดีพอใจ หงุดหงิด โกรธ ขุ่นเคือง ไม่พอใจ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด, ธรรม ไม่ได้หมายถึงเพียงสภาพธรรมฝ่ายดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้นไม่พ้นไปจากธรรมเลย เมื่อไม่ได้ศึกษา ย่อมไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นธรรม เพราะแท้ที่จริงแล้ว ทุกขณะเป็นธรรม มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา จิต เจตสิก รูป นั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน
ที่ไม่เที่ยงนั้น เพราะเกิดแล้วดับไป สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เมื่อไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จึงเป็นอนัตตา คือไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้นจริงๆ
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรมเป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น จึงควรที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด ครับ.
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...