ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๑

 
khampan.a
วันที่  21 ก.ย. 2557
หมายเลข  25560
อ่าน  2,021

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๑

ไม่ต้องเป็นห่วงเลยว่า ขณะนี้ท่านมีอาชีพอะไร และยุ่งยาก มีธุรกิจการงาน

มากมายเหลือเกิน ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ตามที่สะสมมา

ที่ปัญญาสามารถจะรู้แจ้งสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนได้ทั้งสิ้น

จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์แน่นอน และเจตสิกที่เกิดกับจิตก็เป็นสภาพรู้อารมณ์

เช่นเดียวกัน แต่ว่าเจตสิกแต่ละประเภทก็ทำกิจตามหน้าที่ของตน เช่น เวทนาเจตสิก

เป็นสภาพรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ในขณะนั้นก็ต้องรู้อารมณ์ด้วย ถ้าไม่รู้อารมณ์

ก็เป็นสุข เป็นทุกข์ในอารมณ์ที่ปรากฏไม่ได้

จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ เจตสิกก็รู้อารมณ์ แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการ

รู้อารมณ์ และเจตสิกแต่ละชนิดก็มีลักษณะและกิจของตนๆ แต่ละประเภท

เป้าหมายในพระพุทธศาสนา คือ การอบรมเจริญปัญญาให้รู้ลักษณะ

ของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ความเป็นจริงคือสัจธรรม เป็นสิ่งที่

สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา

การที่สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดจะเกิดขึ้น ต้องมีปัจจัย คือ สภาพธรรมที่

อิงอาศัยอุปการะเกื้อกูลให้สภาพธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น เพราะสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา

นั้นไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นตามใจชอบได้ แต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น

ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นตนเองเท่านั้นนำทุกข์มาให้แก่ตนเอง

ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่สิ่งอื่น จะโทษใครไม่ได้เลย นอกจากอวิชชา นอกจาก

โลภะ นอกจากอกุศลเจตสิกของตนเองซึ่งสะสมมา

กัลยาณมิตร ไม่ใช่คนที่จะทำให้เราโกรธ หรือรู้สึกโกรธคนนั้นคนนี้

แต่ว่าเป็นผู้ที่ทำให้เราเกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในบุคคลอื่นๆ

สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส จะเห็นได้ว่า อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป)

อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) นี้ มีปัจจัยที่จะเกิดได้ทุกทาง ไม่ว่าจะเป็น

ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกื้อกูลได้

หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ก็ไม่เกิด ต่อเมื่อใดที่

มีปัจจัยที่เหมาะสมที่เกื้อกูลได้ในขณะนั้น หิริโอตตัปปะจึงเกิดได้

ความเสียหายของคนอื่น เขาอยากจะให้คนอื่นรู้ไหม? ไม่อยาก

น่าเห็นใจไหม เมื่อเห็นใจในการกระทำที่พลั้งพลาดในความพลั้งพลาด

ของบุคคลนั้น ก็ไม่ควรที่จะให้ล่วงรู้ถึงบุคคลอื่น แต่ว่าควรที่จะได้ช่วยให้

เขาเห็นว่า ควรที่จะประพฤติในสิ่งที่ถูก ในสิ่งที่ควรอย่างไร

ก่อนที่จะกล่าวก็ควรที่จะได้พิจารณาแต่ละเรื่อง ว่ามีประโยชน์บ้างไหม

ถ้าไม่มีประโยชน์ก็เว้นเลย ไม่กล่าวเลย เวลาที่สติเกิดนี้สามารถที่จะให้เป็น

ไปในทางที่ควรได้ทุกประการ

เรื่องของคำพูด ต้องเป็นเรื่องระวังจริงๆ และให้เป็นประโยชน์จริงๆ มิฉะนั้น

ท่านไม่ทราบเลยว่า จะเกิดความเสียหายกับคนอื่นมากน้อยสักแค่ไหน

ธรรม มีเหตุมีผลลึกซึ้งมาก ซึ่งต้องอาศัยการพิจารณา การฟังด้วยความ

เข้าใจจริงๆ ที่จะให้ได้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงฟัง แล้วยังยึดถือความ

เห็นของตนเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผู้ฟังเป็นผู้ไม่เงี่ยโสตลงฟังในเหตุ

ในผล เป็นการแสดงว่า ผู้นั้นเป็นคนที่ไม่มีอุปนิสัยในการที่จะพิจารณาเหตุผล

สำหรับผู้ที่เงี่ยโสตลงฟัง คือ ผู้ที่พิจารณาเหตุผลนั้น ชื่อว่า เป็นคนมีอุปนิสัย

เมื่อเป็นผู้มีอุปนิสัยสะสมมาแล้ว ย่อมรู้ ย่อมอบรมเจริญปัญญาเพื่อจะละอกุศลธรรม

เพื่อที่จะให้รู้แจ้งสภาพธรรมที่ดับกิเลสได้

มิตรเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของทุกท่าน ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดๆ

ที่ท่านต้องการความช่วยเหลือ มิตรแท้ย่อมสามารถที่จะช่วยเกื้อกูล

อนุเคราะห์ได้ เพราะเหตุว่าไม่มีใครที่สามารถจะอยู่แต่ลำพังคนเดียวในโลกนี้ได้

ถ้าท่านมีเมตตา อยากให้คนอื่นมีความสุขทุกประการ นั่นเป็นสิ่งที่มี

ประโยชน์ แต่เวลาเกิดโกรธ กลับปฏิบัติสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ คือ

กลายเป็นความมุ่งร้าย ผูกโกรธต่างๆ ที่จะให้คนอื่นเป็นทุกข์ต่างๆ

เวลาที่ความโกรธมีกำลัง อาจจะกระทำให้มารดาบิดาเสียใจ ทั้งทางกายก็ได้

ทางวาจาก็ได้ ทั้งๆ ที่ในยามที่ไม่โกรธ ก็อาจจะตั้งใจว่า จะเป็นลูกที่ดี ที่จะเลี้ยงดู

อุปการะพ่อแม่ในยามแก่ยามเฒ่า แต่พอเกิดโกรธขึ้นมา กำลังของความโกรธอาจ

จะทำให้ถึงกับประทุษร้ายได้

ถ้าเบื่อความจริง จะเข้าใจความจริงได้อย่างไร จะเข้าใจความจริงได้

ต้องได้ฟังพระธรรม

พระผู้มีพระภาคทรงชี้ให้เห็นอกุศลธรรมต่างๆ ก็เพื่อจุดประสงค์ที่จะให้

ฝึกฝนตน อบรมปัญญา ความเพียร สัมมาทิฏฐิ ที่จะดับกิเลสทั้งหมดขาด

เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)

พระธรรม อุปการะเกื้อกูล ประคับประคองให้ชีวิตเป็นไปในทางที่ดี.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตปันธรรมด้วยครับ

@ พระธรรมทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นการแสดงคุณที่มีอยู่ในตน โดย

ไม่มีโทษ เพราะเหตุว่าเป็นการแสดงเรื่องที่พ้นจากความรู้ของสามัญชน เพราะฉะนั้น

ผู้ที่ศึกษาพระธรรมก็จะต้องคิดถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากพระธรรมจริงๆ คือ สามารถ

ที่จะเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏได้ถูกต้อง

@ ทุกคนศึกษาเพื่อเข้าใจทั้งนั้น แต่ว่า ศึกษาเพื่อเข้าใจอะไร ต้องให้ตรงอีก คือ

เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เข้าใจอย่างอื่น บางคนอาจจะคิดว่า เพื่อเข้าใจ

สิ่งที่มีในตำรา แต่นั่นไม่ใช่ความเข้าใจ นั่นเป็นเรื่อง แต่ว่าที่ศึกษาตำราเพื่อที่จะให้

เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ว่าจะศึกษาส่วนใดใน

พระไตรปิฎก ศึกษาน้อยหรือมากก็ตามแต่ก็เพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

เช่น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาเพียงเท่านี้ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลัง

ปรากฏอย่างนี้จริงๆ หรือยัง กำลังเห็นเป็นอนัตตาอย่างไร กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น

กำลังลิ้มรส กำลังคิดนึก กำลังกระทบสัมผัส กำลังสุข กำลังทุกข์ เป็นอนัตตาอย่างไร

ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ศึกษา คือ ฟังเรื่องของการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส

การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกต่างๆ เพิ่มความเข้าใจในลักษณะที่เป็นอนัตตาของ

สภาพธรรมที่กำลังปรากฏยิ่งขึ้น

@ บุคคลในยุคต่างๆ ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ บุคคลเหล่านั้นได้ กระทำ

กาละไปหมดแล้ว แล้วบุคคลเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวง

ได้อย่างเด็ดขาด แน่นอนต้องเกิด มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นเป็นไป ในภพต่างๆ

ซึ่งอาจจะเป็นเรา หรือ เป็นใคร คนใดคนหนึ่ง ที่อยู่ที่นี่ในขณะนี้ก็ได้ ดังนั้น ประโยชน์

สูงสุดของการเกิดมาในแต่ละภพ แต่ละชาตินั้น ก็คือ มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม

สะสมปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูกไปตามลำดับ จนกว่าจะมีมากขึ้น เจริญขึ้น

ถึงขั้นดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์. สังสารวัฏฏ์จึง

เป็นอันจบสิ้น

@ จนอะไรก็จนได้ แต่อย่าได้จนศรัทธา เพราะความศรัทธานำมาซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย

ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจ ศรัทธาเป็นลาภอันประเสร็ฐนำมาซึ่งกุศลธรรม ขั้นทาน

ขั้นศีล ขั้นภาวนา การอบรมเจริญปัญญานั้นมีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เริ่มมีศรัทธา

ประกอบด้วยปัญญา จนกว่าจะมีศรัทธาที่มั่นคงขึ้น อบรมเจริญปัญญาเผากิเลส จนถึง

ความเป็นพระอริยบุคคลเป็นลำดับขั้น ส่วนผู้ที่ไม่มีศรัทธาย่อมตายเพราะอกุศลกรรม

อกุศลกรรมนำมาซึ่งผลอันเป็นทุกข์ สร้างอบายภพให้เกิดขึ้นในสัมปรายภพ

@ จิตเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตได้ยินเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ละขณะเกิดขึ้นและ

ดับไป ไม่เหลืออะไรเลย ไม่กลับมาอีก ในแต่ละวันเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส

กระทบสัมผัส และก็คิดนึก ไม่เคยรู้ความจริง จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันในแต่ละภพ

ชาติ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดโดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงปรากฏ

ให้ได้เห็น เพียงปรากฏให้ได้ยิน...แล้วดับไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วตามเหตุ

ปัจจัย อยู่มาแล้วนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่รู้ความจริง จึงต้องเกิดขึ้นมาเห็นอีก

ได้ยินอีก..ไม่มีวันสิ้นสุด ชีวิตที่ประเสริฐคือ มีชีวิตอยู่เพื่อความรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลัง

ปรากฏ ความเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง

@ ทาน ก็คือการให้ ทานก็คือธรรมะ ซึ่งก็ไม่พ้นไปจาก จิต เจตสิก ที่เป็นไปใน

กุศล ทานขณะนั้นเป็นกุศลธรรม ธรรมะเป็นเรื่องละเอียด ลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก

กุศลธรรมก็คือ จิต เจตสิก ที่เป็นไปในกุศล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราไปทำแต่เป็นจิตที่

ดีงามที่เป็นไปในการให้ ในชีวิตประจำวันผู้ที่มีความเข้าใจธรรม ขณะให้ทานก็จะมี

สติระลึกรู้สภาพธรรมขณะนั้นได้ เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรมจึงควรพิจารณาให้

เข้าใจถึงตัวธรรมะที่มีอยู่จริงที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่มีธรรมะแล้ว จะให้ศึกษาอะไร

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 21 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 21 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 21 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ สาธุ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง

จาก ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pulit
วันที่ 22 ก.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
siraya
วันที่ 22 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 22 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
thilda
วันที่ 22 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
peem
วันที่ 22 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 22 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง ค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 22 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
napachant
วันที่ 23 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Noparat
วันที่ 23 ก.ย. 2557

ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นตนเองเท่านั้นนำทุกข์มาให้แก่ตนเอง

ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่สิ่งอื่น จะโทษใครไม่ได้เลย นอกจากอวิชชา นอกจาก

โลภะ นอกจากอกุศลเจตสิกของตนเองซึ่งสะสมมา

..กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 25 ก.ย. 2557
ขอนุโมทนาคะ
 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
สิริพรรณ
วันที่ 24 พ.ย. 2557

กราบนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ

พระธรรมเท่านี้น ที่สามารถ ขัดเกลากิเลส

ด้วยการเข้าใจ และประจักษ์ความจริง

จนละคลายความติดข้องและความไม่รู้

ทีละเล็กทีละน้อย ก็เบิกบานยิ่ง

จึงควรศึกษาพระธรรมให้ถึงที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
kullawat
วันที่ 23 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
นิตยา
วันที่ 25 มี.ค. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
Chuapaeng
วันที่ 25 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ