ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๓ -.-.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๓
--- การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็ต้องด้วยปัญญาที่เข้าใจพระธรรมเท่านั้น แม้เมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็มีทางเดียวเช่นเดียวกัน คือฟัง พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงสามารถรู้ได้ว่าบุคคลนี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงแสดงสิ่งที่มีจริงที่ผู้อื่นไม่สามารถจะแสดงได้ ไม่สามารถตรึก นึก คิด ไตร่ตรองประมวลเองได้แม้แต่คนเดียว
--- ประโยชน์ของการมีชีวิต คือเพื่ออบรมเจริญปัญญา จากที่ไม่เคยเข้าใจความจริง จากที่เต็มไปด้วยความมืดคือ อวิชชา ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น สะสมความเข้าใจถูก เห็น ถูกในสภาพธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงยิ่งขึ้น เมื่อมีปัญญาเจริญขึ้น ก็จะทำให้เป็นผู้มีชีวิต ที่ดำเนินไปด้วยปัญญาตามที่ตนมี เปลี่ยนจากที่เคยอยู่ด้วยอกุศลประการต่างๆ มาก มาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นผู้อยู่ด้วยกุศลที่เพิ่มขึ้น ปัญญา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูก เห็นถูก นี้เอง จึงเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงหลงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน กิเลสทั้งหลาย ความไม่รู้และตัณหา เป็นต้น เป็นเหตุ ทำให้เกิดทุกข์มากมายในสังสารวัฏฏ์ หนทางที่จะขัดเกลาละคลายความไม่รู้ ตลอด จนถึงกิเลสประการอื่นๆ ก็คือการศึกษาพระธรรม ซึ่งจะต้องสะสมความเข้าใจถูกเห็น ถูกไปตามลำดับตั้งแต่ในขั้นการฟัง จนกว่าจะรู้จนกว่าจะประจักษ์แจ้งตามความเป็น จริง
--- ชีวิตอาจจะอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ได้ อาจจะสิ้นชีวิตในวันนี้ก็ได้ มีโอกาสที่จะฟังพระธรรม ก็ควรรีบฟัง รีบสะสมปัญญาทันที มีโอกาสที่จะได้สะสมกุศล ก็สะสมทันที เป็นคนดีทันที ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ซึ่งเป็นการเติมกุศลทุกๆ วัน เพื่อชำระ ล้างอกุศล เพราะถ้าไม่คอยเติมกุศลแล้ว ก็ย่อมเป็นเหตุให้อกุศลพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ พระธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้ที่ได้รับฟังได้ ซึ่งแต่ละบุคคลก็จะพิสูจน์ได้กับตัวเองว่า เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ เปลี่ยนจากความไม่รู้อะไรเลย เป็นรู้ขึ้น และถ้าได้ศึกษาพระธรรมต่อไป สะสมความ เข้าใจยิ่งขึ้น กุศลประการอื่นก็จะเพิ่มพูนขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน แล้วจะเปรียบเทียบ ได้จริงๆ ว่า พระธรรมเปลี่ยนจากอกุศลซึ่งเคยมีมาก ให้ลดน้อยลง แล้วก็เพิ่มพูนทาง ฝ่ายกุศลขึ้น เป็นการถือเอาสิ่งที่ควร แล้วละทิ้งสิ่งที่ไม่ควร ได้
--- อกุศล เป็นสภาพธรรมที่ทำให้ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควรต่างๆ มากมาย ซึ่งผู้ ที่มีความประพฤติที่ไม่สมควรต่างๆ นั้น ก็เพราะว่าไม่ได้คล้อยตามพระพุทธพจน์ ไม่ได้น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม
--- ชาตินี้ ก็จะเป็นชาติก่อนของชาติหน้า ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม และความดีในชาตินี้ ชาติต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้อีก
--- ถ้าวันนี้หรือพรุ่งนี้จะจากโลกนี้ไป ยังจะโกรธคนอื่นอยู่หรือไม่? เป็นโทษสำหรับ ใครในขณะที่โกรธ?
--- การชนะความไม่ดีด้วยความดี ก็คือในขณะนั้นเป็นกุศลของเราเองที่เจริญอบรมขึ้น เพื่อที่จะชนะความไม่ดีที่มีอยู่ในตัวเราเอง ไม่ใช่ไปชนะบุคคลอื่น
--- การได้ฟังพระธรรมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยปราศจาก เหตุปัจจัย ถ้าไม่ได้มีบุญที่กระทำไว้แล้วในชาติปางก่อน จะไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เลย และถ้าไม่ได้สะสมศรัทธาและความเห็นที่ถูกต้องว่าฟังเพื่อเข้าใจความจริง คนนั้น ก็จะได้ยินได้ฟังแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่กำลังได้ฟังนั้นเป็นความจริง ซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย
--- จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจความจริง เนื่องจากมีความจริง แต่เมื่อยังไม่เคยฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ธรรมนั้น คืออะไร คิดไม่ออก จึงต้องเริ่มที่การฟังในขณะนี้
--- พระธรรมแต่ละคำที่แต่ละคนได้ยินได้ฟังนี้ มาจากการบำเพ็ญพระบารมีนานแสน นานของผู้ที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำคือพระมหากรุณา คุณตั้งแต่ครั้งทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์จนกระทั่งได้ทรงตรัสรู้ มีค่ามาก สำหรับที่จะทำให้คนอื่นได้มีความเข้าใจจริงๆ ในเรื่องของกรรม ในการเห็นโทษของ อกุศล ในเรื่องของการละชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม และชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจาก อกุศล เป็นต้น ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระองค์ ก็จะไม่ได้ยินแม้แต่คำว่า ธรรม
--- เจรจาน่ารัก คือ การพูดคำที่ไม่กระทบกระเทือนจิตใจของบุคคลอื่น เป็นคำที่ฟัง แล้วไม่แสบร้อน เกิดขึ้นเพราะกุศลจิตที่ประกอบด้วยเมตตา
--- ธรรมที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ นั้นต้องเป็นกุศล แต่ว่ายากที่จะเกิด เพราะเหตุว่าเมื่อ สะสมอกุศลมามาก ก็ย่อมมีปัจจัยให้อกุศลธรรมเกิดมากกว่ากุศลธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่ เห็นว่าธรรมใดเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจในคุณของธรรมนั้น กล่าวคือคุณของ กุศลธรรม ก็ย่อมจะเป็นปัจจัยให้ได้เจริญกุศลในชีวิตประจำวัน
--- อกุศลทั้งหมด เกิดมาจากความไม่รู้ ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ จะหมดอกุศลไม่ได้เลย
--- ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นผู้มีเมตตาแล้ว ก็จะทำให้กุศลจิตอีกหลายประการเกิดได้ แต่ข้อสำคัญต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ เมตตาจึงเป็นธรรมเครื่องอยู่ของผู้ประเสริฐ ถึงแม้ว่า จะมีใครกล่าวร้าย ว่าร้าย หรือว่ามีกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมประการใดก็ตาม บุคคล ผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว
--- ถ้าเป็นคนพาล ไม่สามารถจะอนุโมทนาในความดีของผู้อื่นได้เลย เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ได้ทราบการกระทำบุญกุศลของบุคคลอื่น ก็ควรเป็นผู้ที่มีจิตยินดี ชื่นชม อนุโมทนาในกุศลกรรมของบุคคลอื่นที่ตนได้ทราบนั้น ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตระหนี่แม้แต่จะ ชื่นชมยินดีในบุญกุศลของบุคคลอื่น
--- บุคคลในสมัยครั้งพุทธกาลจะเข้าใจธรรม เมื่อได้เข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
--- จะรู้จักหนทางที่ถูกต้อง จากใคร จากคนพาลหรือจากบัณฑิต? ก็ต้องมาจาก บัณฑิต
--- ขณะใดที่ไม่เข้าใจ นั่นคือ อวิชชา เป็นธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา
--- ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะมีแต่เดินไปตาม ทางของอกุศล
--- ถ้าไม่มีความเข้าใจถูก ไม่สามารถข้ามไปถึงฝั่งแห่งการดับกิเลสได้เลย
--- ประมวลพระธรรมคำสอนทั้งหมด เพื่อเข้าใจถึงความเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) ของสภาพธรรม
--- ที่สุดของการฟังพระธรรม คือ เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟังจริงๆ
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๒
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยื่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณ และขออนุุโมทนาในกุศลของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ