เวลามีน้อย

 
เมตตา
วันที่  7 ต.ค. 2557
หมายเลข  25609
อ่าน  1,085

ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก ย่อมเจริญขึ้นไปตามลำดับ ไม่ใช่ว่าปัญญาจะเจริญขึ้นสมบูรณ์เต็มที่ ด้วยการฟังเพียงครั้งเดียว หรือ สองครั้งเท่านั้น ปัญญา เปรียบเหมือน แสงสว่าง ส่องทางในที่มึดสนิท ปัญญาเปรียบเหมือน พืช ที่โตช้า เพราะความไม่รู้มีมาก จึงต้องอาศัยการฟังบ่อยๆ เนืองๆ และจากการฟังในแต่ละครั้งความเข้าใจย่อมจะค่อยๆ เจริญขึ้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ประเสริฐจริงๆ เพราะจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน กิเลสที่มีมากถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะขจัดออกไปจากจิตใจได้ ขณะนี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พร้อมทั้งได้เกิดในถิ่นที่ยังมี พระธรรม คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดำรงอยู่ และในขณะเดียวกัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่บกพร่องพร้อมที่จะรองรับพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) ได้ ก็ควรที่จะได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรม คือ นามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าเวลาของแต่ละบุคคล มีน้อย จะจากโลกนี้ไปเมื่อใด ไม่มีใครรู้ได้เลย มีโอกาสที่จะได้ฟังได้ศึกษาในสิ่งที่ประเสริฐ ก็ไม่ควรผ่านเลยไป ควรฟังควรศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าวันๆ ไม่ฟังพระธรรม จะใส่ใจธรรมหรือเปล่า เพราะว่า ธรรมคิดเองไม่ได้เลย ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเท่านั้น ฟังเพื่อเข้าใจถูกต้อง ในความจริงที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ชีวิตนี้ก็จะอยู่ไปด้วยความไม่รู้ ชีวิตที่ผ่านมาก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ และกิเลสที่สะสมเอาไว้ก็มาก ชีวิตในแต่ละวันเต็มไปด้วยอกุศล โอกาสของการฟังธรรมพิจารณาธรรมก็น้อย กว่าจะเป็นโอกาสของกุศลแต่ละครั้งก็แสนยาก ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมพูดแต่คำไม่รู้จัก เมื่อมีโอกาสได้ฟังธรรมแล้ว และเริ่มจะเข้าใจความจริงก็แสนยาก ธรรมนั้นลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจได้ เข้าใจแล้วยังต้องอดทน ที่จะฟังแล้วฟังอีก ฟังไวั เข้าใจไว้

เพื่อสักวันหนึ่งเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมความเข้าใจที่สะสมมาย่อมสามารถรู้ความจริงได้ แต่คงไม่ใช่ชาตินี้ ชาติหน้าอีกนับไม่ถ้วนชาติ ก็ไม่ท้อถอย เพราะได้เดินสู่หนทางที่ถูก ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวในหนทางที่จะรู้ความจริง ขอให้เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ประมาทไม่ได้เลย ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหนเลย เพราะเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีเราที่จะทำธรรมใดให้เกิดได้ คิดเองก็ไม่ได้เพราะสภาพธรรมเกิดแล้วดับไปทุกขณะตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจ สะสมความเข้าใจเพื่อชำระจิตนี้ให้สะอาดขึ้นจากความไม่รู้ สภาพธรรมมีอยู่ แต่ โลภะ กั้นไว้ แสวงหาหนทางอื่นที่ไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ค่อยๆ ชำระจิตจาก โลภะ เพราะ โลภะ นั้นเกิดจากความไม่รู้คือ อวิชชา โทสะ ความขุ่นเคืองใจกั้นไว้ ความไม่รู้ กั้นไว้ เพราะมีโลภะ โทสะ โมหะ จึงไม่สามารถฟังธรรมได้ เพราะโลภะ โทสะ โมหะ จึงไม่สามารถเข้าใจธรรมได้ การฟังพระธรรมเผินไม่ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ลึกซึ้งไหม? ไม่ว่าขณะไหน เป็น ธรรม ทั้งนั้น จึงต้องฟังไว้ เข้าใจไว้ สะสมความเข้าใจ หนทางเดียว ฟังให้เข้าใจเพื่อสะสมความเข้าใจ ทีละหนึ่งที่ปรากฏ

เพื่อคลายความเป็นตัวตน ชีวิตแต่ละคนเหลือเวลาอีกไม่นาน ฟังให้เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏ ไม่มีเราที่จะทำ ปัญญาเท่านั้นที่ละความเป็นเราที่ติดข้องอย่างมาก ความเป็นตัวตนที่จะไปรู้ ต้องเป็นการสะสมความเห็นถูกเข้าใจถูกจนกว่าปัญญาจะละ

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
j.jim
วันที่ 7 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 7 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 7 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 7 ต.ค. 2557

ขอบคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แต้ม
วันที่ 4 ก.พ. 2558

ครับ เวลามีน้อยจริงๆ แต่คนเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่พิจารณาตรงนี้ ยังใช้ชีวิตประมาทอยู่ ผมก็ใช้ชีวิตประมาทมาตลอด มาได้ศึกษาพระธรรมก็นับว่าช้าไปเพราะวัยใกล้เกษียณแล้ว แต่ก็ยังไม่สายเกินไป เพราะยังไม่ตาย ฉะนั้นไม่มีคำว่าสายเกินไปถ้ายังไม่ตาย แล้วเราจะรู้หรือไม่ว่าเราจะตายเมื่อไร

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วิริยะ
วันที่ 7 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ