อาสวะและอนุสัย
เรียน อาจารย์ทั้งสองท่าน
ขอความอนุเคราะห์อาจารย์กรุณาให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับ "อาสวะและอนุสัย" ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อาสวะมี ๔ อย่าง คือ ...
๑. กามาสวะ เครื่องหมักดองคือความยินดีในกาม ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิต ๘ ดวง
๒. ภวาสวะ เครื่องหมักดองคือความยินดีในภพ ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดกับโลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง
๓. ทิฏฐาสวะ เครื่องหมักดองคือความเห็นผิด ได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่เกิดโลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์๔ ดวง
๔. อวิชชาสวะ เครื่องหมักดวงคือความไม่รู้ ได้แก่ โมหเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตทั้ง ๑๒ ดวง
อาสวะกิเลส จึงเป็นส่วนหนึ่งของกิเลส ในกิเลส 10 ประการ เพราะ อาสวะ คือ โลภะ และ ทิฏฐิ ที่เป็นความเห็นผิด
อวิชชา คือ ความไม่รู้ เรียกว่า โมหะ เป็นเจตสิก คือ โมหเจตสิก เป็นนามธรรม ครับ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของกิเลส ด้วย ครับ
อนุสัยกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่ตามนอนเนื่องอยู่ในจิตไม่ปรากฏตัวออกมา หรือเป็นกิเลสที่มีกำลังที่ยังละไม่ได้ จะละได้ด้วยปัญญาระดับมรรคจิตครับ
อนุสัย มี 7 ประการคือ
๑. กามราคานุสัย หมายถึง โลภะ ความติดข้องในกาม
๒. ปฏิฆานุสัย หมายถึง โทสะ ความโกรธ
๓. ทิฏฐานุสัย หมายถึง ความเห็นผิด
๔. วิจิกิจฉานุสัย หมายถึง ความสงสัย
๕. มานานุสัย หมายถึง ความถือตัว ความสำคัญตัว
๖. ภวราคานุสัย หมายถึง โลภะ ความติดข้องในภพ
๗. อวิชชานุสัย หมายถึง โมหะ ความไม่รู้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสที่ละเอียดมาก เพราะเหตุว่า กิเลสมี ๓ ระดับ คือ กิเลสขั้นหยาบ เราเห็นได้จากการประพฤติทุจริตล่วงศีล แสดงให้ทราบว่ากิเลสนั้นหยาบและมีกำลัง กิเลสที่ไม่ถึงกับล่วงศีลที่ออกมาเป็นกายทุจริต วจีทุจริต เมื่อเกิดแล้ว แต่ยังไม่แสดงออกให้รู้ได้ในขณะนั้นๆ เป็นกิเลสขั้นกลาง เช่น ความขุ่นใจ มีแต่ไม่พูด ไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือโลภะ มี แต่ไม่แสดงออก ก็ไม่มีผู้อื่นรู้ว่ามีโลภกิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงานร่วมกับจิต กิเลสขั้นกลางนี้เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต แต่ยังไม่ถึงกับล่วงศีลหรือกระทำทุจริตกรรม แต่กิเลสขั้นหยาบและกิเลสขั้นกลางจะเกิดได้ก็เพราะเหตุว่ามีกิเลสขั้นละเอียด
-อาสวะ เป็นอกุศลธรรมที่บางเบาไหลไปได้ทุกภพภูมิ ไหลไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ยากที่จะรู้ได้ ต้องเป็นเรื่องของปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ และการละ อาสวะ ก็ต้องเป็นปัญญาระดับขั้นที่เป็นโลกุตตระ ตามลำดับ กล่าวคือ ความเห็นผิด ที่เป็น ทิฏฐาสวะ ละได้ด้วยโสตาปัตติมรรค กามาสวะ ความติดต้องในกาม ละได้ด้วยอนาคามิมรรค ภวาสวะ ความติดข้องในภพ และ อวิชชาสวะ ความไม่รู้ ดับได้อย่างหมดสิ้นด้วยอรหัตตมรรค
แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องยากจริงๆ กว่าจะดับอกุศลธรรมเหล่านี้ได้ ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมปัญญาไป ชีวิตไม่มีอะไรเป็นพึ่งอย่างแท้จริงได้ นอกจากปัญญาเท่านั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเหตุให้ปัญญาเจริญขึ้น ปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าปราศจากการฟังพระธรรม แล้วจะฟังพระธรรมจากใคร? คำตอบ คือ จะต้องเข้าไปอาศัยบุคคลผู้ที่มีปัญญา เมื่อคบหากับบุคคลผู้มีปัญญาแล้ว ก็จะได้มีโอกาสฟังความจริง ฟังพระธรรมจากบุคคลนั้น เมื่อมีการฟังเกิดขึ้น ก็มีการใส่ใจ มีการพิจารณาไตร่ตรอง ซึ่งจะเป็นเครื่องเกื้อกูลให้มีการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โดยเป็นกิจหน้าที่ของธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้น ไม่ใช่มีตัวตนที่ไปปฏิบัติหรือไปทำ ซึ่งจะต้องเกื้อกูลกันตั้งแต่ต้น
กว่าจะถึงการสิ้นอาสวะ ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านดับอาสวะได้หมดสิ้น เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า การอบรมเจริญปัญญาไม่ไร้ผลอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น ในฐานะที่ยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่มากมาย ก็จะต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไป จนกว่าวันนั้นจะมาถึงจริงๆ เมื่อนั้นก็จะเป็นผู้สิ้นสุดการเดินทางในสังสารวัฏฏ์ แต่ขณะนี้ยังไปไม่ถึงตรงนั้น ก็จะต้องสะสมเหตุที่ดีต่อไป ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม แล้วน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม ต่อไป ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...