ดารานักแสดงตายแล้วจะไปเกิดในสุคติหรือทุคติ
ดิฉันเคยอ่าน แต่จำไม่ได้ว่าชื่อพระสูตรอะไร เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามมิให้หัวหน้านักแสดงถามคำถามเกี่ยวกับคติตอนตายถึง ๓ ครั้ง แต่ก็ยังคะยั้นคะยอจะเอาคำตอบให้ได้ ดิฉันมีความสงสัยว่า ดารานักแสดง (ซึ่งจัดว่าเป็นอาชีพสุจริต) ที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้อื่น ตายแล้วจะไปเกิดในสุคติหรือทุคติ เพราะเหตุใด
สำหรับปุถุชนผู้มีคติไม่แน่นอน ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร ย่อมมีโอกาสเกิดในสุคติภูมิ หรือทุคติภูมิก็ย่อมได้ แล้วแต่กรรมใดจะให้ผลในเวลาใกล้ตาย ในพระไตรปิฎกมีกล่าวถึงบุคคลในสมัยครั้งพุทธกาลทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทุกสาขาอาชีพ บางท่านเมื่อตายแล้ว เกิดในอบายภูมิก็มี บางท่านเมื่อตายแล้วเกิดในสุคติภูมิก็มี บางท่านจุติแล้วไม่เกิดอีกเลยก็มี
สำหรับพระสูตรบางสูตร เช่น ตาลปุตตสูตร เป็นต้น กล่าวถึงนักแสดงถามปัญหา เรื่องความเชื่อที่ผิดของนักแสดงว่า เมื่อแสดงทำให้คนดูมีความสนุกสนานจะได้บุญทำให้เกิดบนสวรรค์ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น รายละเอียดโปรดอ่านข้อความจากพระไตรปิฎก สรุปคือผู้ที่เกิดในสุคติภูมิเพราะกรรมดี ผู้ที่เกิดในทุคติภูมิเพราะกรรมชั่ว ผู้ที่ไม่ต้องเกิดอีกเพราะละกรรมดีและกรรมชั่วได้แล้ว
ขออนุโมทนาครับ
ตามความคิดเห็นของข้าพเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า การแสดงควรมีคติสอนใจ ในช่วงเวลาที่ควรสอน และควรมีคำบรรยายออกมาในช่วงเวลาที่ควรบรรยาย และถ้าจะให้มีผลในการจรรโลงใจ การแสดงนั้นควรมีจุดประสงค์หลักให้อยู่ในศีลในธรรม ส่วนผู้ชมเอง ก็ควรพิจารณาและ ใช้ปัญญาในการชมการแสดงนั้นๆ ด้วยเช่นกันครับ
ขอบคุณครับ
เพราะฉะนั้น ผมมีความเห็นว่า ไม่เฉพาะ ดารานักแสดง ที่มีความเห็นผิดอย่างใน ตาลปุตตสูตรเท่านั้น ผู้ดูและผู้ชมการแสดงที่มีความเห็นผิดแบบนี้ แล้วประกอบอกุศลกรรม ตายแล้ว คงไป ปหาสะนรก เหมือนกันแน่ ก็ยังใจชื้น ขึ้นมาหน่อยหนึ่งที่ผมไม่ได้มีความเห็นผิดแบบนี้ (ในชาตินี้) เพราะพระธรรม โดยแท้ที่ช่วยให้ผู้ฟังมีความเข้าใจในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า
พระอริยบุคคลไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ 6
1. ดื่มสุรา
2. เที่ยวในตรอก เที่ยวกลางคืน
3. เป็นคนเกียจคร้าน
4. เที่ยวดูหนัง
5. เล่นการพนัน
6. คบคนชั่วเป็นมิตร
แต่ขณะที่ดูหนังก็เจริญสติได้ไม่ใช่หรือคะ เป็นชีวิตปกติของฆราวาสที่ยังยินดีพอใจในกามคุณ ๕ ดีกว่าไปฝืนอัธยาศัย จิตใจย่อมไม่ผ่องใสเป็นอกุศล
การที่นักแสดงจากสูตรที่กล่าวก็น่าพิจารณา การที่นักแสดงนั้นจะตกนรก ก็ต้องมั่นคงในเรื่องของ กรรมบถ คือนักแสดงนั้นก็ต้องพูดเท็จ หรือแม้พูดจริง แต่เจตนาเป็นอย่างไร พูดจริงประกอบด้วยโทสมูลจิตก็ได้ ล่วงออกมาเป็นผรุสวาจา หรือเป็นการพูดเพ้อเจ้อก็ได้ ซึ่งเป็นการหักรานประโยชน์ผู้อื่น หักรานประโยชน์อย่างไรคือแทนที่เขาจะได้ไปฟังธัมมะ หรือประกอบอาชีพ เขาก็เสียประโยชน์เพราะเหตุต้องมาดูการละเล่นของนักแสดง ซึ่งเป็นการครบองค์ของกรรมบถ ย่อมทำให้ไปนรกหรืออบายได้ครับ
ดังนั้น ที่สำคัญต้องพิจารณาที่เจตนาเป็นสำคัญ แม้ไม่ใช่นักแสดง ชีวิตประจำวันทั่วไป เราพูด หรือกระทำทางกายอย่างไร ขึ้นอยู่กับเจตนา เช่นกัน ว่าเป็นไปในทางกุศลหรืออกุศล เจตนาเป็นสำคัญครับ
แต่จากสูตรที่คุณกล่าวถึงเป็นการทำอกุศลกรรม ที่เป็นไปทางกาย และวาจา ทั้งยังทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์ด้วยการเพิ่มอกุศลของเขาด้วย จึงครบกรรมบถ ดังที่ได้กล่าวมาในข้อ การพูดเพ้อเจ้อครับ
ขอยกตัวอย่างในพระไตรปิฎกให้พิจารณา ว่าเจตนาเป็นสำคัญ แม้จะทำให้ผู้อื่นหัวเราะก็ตาม ลองพิจารณาดูนะ
เชิญคลิกอ่านที่นี่....
ซึ่งจากตัวอย่างที่ยกมา ที่ทำให้บิดา มารดา หัวเราะ แจ่มใส ดูคล้ายๆ กับนักแสดงที่ทำให้คนดู หัวเราะเหมือนกัน แต่ที่สำคัญต่างกันที่เจตนา และจิตของผู้พูด ซึ่งมีกำกับไว้ แล้วว่าเป็น ปิยวาจา (วาจาอ่อนหวาน) เป็นกุศล เพราะเจตนาเป็นกุศล มีความหวังดีในมารดา บิดา ดังนั้น เจตนา จึงเป็นสิ่งสำคัญครับ ว่าเป็นไปทางกุศลหรืออกุศล
สำคัญที่เจตนาเจตสิก จริงๆ ครับ เพราะถ้าเจตนาประกอบอกุศล ที่มีความเห็นผิดร่วมด้วย ย่อมเป็นบาป หนักกว่าที่ไม่มีความเห็นผิดร่วมด้วย เพราะความเห็นผิดนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่ประกอบกับโลภมูลจิต (ทิฏฐิเจตสิก ไม่เกิดร่วมกับ โทสะ หรือ โมหะ)
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 3 โดย medullaปหาสะ นี่เป็นนรกอยู่ชั้นไหนคะ
อรรถกถาของพระสูตรนี้ (บางส่วน)
[เล่มที่ 29] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 183
บทว่า ปหาโส นามนิรโย ความว่า ธรรมดานรกที่ชื่อว่า ปหาสะ มิได้มีเป็นนรกหนึ่งต่างหาก แต่เป็นส่วนหนึ่งของอเวจีนั่นเองที่พวกสัตว์แต่งตัวเป็นนักฟ้อนรำ ทำเป็นฟ้อนรำและขับร้องพากันหมกไหม้อยู่ ท่านกล่าวหมายเอานรกนั้น
ขออนุโมทนาครับ
ยังเป็นผู้ที่ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือหรือนิตยสารทั่วไปอยู่อย่างปกติ แต่มีสิ่งที่เพิ่มขึ้นเองจนเริ่มสังเกตเห็นได้บ่อยขึ้น คือ ดูหนังและละครน้อยลง หรือในระหว่างที่ดูอยู่ก็มักมีความคิดนึกไปในเรื่องสภาพธรรม หรือ เรื่องผลของกรรมต่างๆ เกิดขึ้นเองเป็นระยะๆ เห็นด้วยกับคุณ devout ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรฝืนอัธยาศัย แต่ค่อยๆ ขัดเกลาได้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ขอเชิญรับฟังเพิ่มเติม ....
ชุด แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 0331
นาทีที่ 19.17 - 23.23
ข้อความบางตอน...
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ตาลปุตตสูตร มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถานใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่า ตาลบุตร เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า นักเต้นรำคนใด ทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้ร่าเริง ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร
ชุด แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 0332
นาทีที่ 00.00 - 07.10
ข้อความบางตอน...
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร นายคามณี เราห้ามท่านไม่ได้แล้วว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้แก่เราเลย แต่เราจักพยากรณ์ให้ท่าน
ดูกร นายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะ อันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น
เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น