ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ผศ.อรรณพ หอมจันทร์, อาจารย์ธิดารัตน์ หอมจันทร์, อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธและอาจารย์วิชัย เฟื่อฟูนวกิจ ได้รับเชิญจากนายแพทย์ทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ บ้านพักย่านตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เป็นการไปสนทนาธรรม ณ สถานที่แห่งนี้ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ในหลายๆ ปีที่ผ่านมา ด้วยกุศลศรัทธาของท่านเจ้าของบ้าน ที่ได้ฟังและศึกษาพระธรรม กับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาอย่างยาวนานหลายปีแล้ว โดยท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมในครั้งที่ผ่านๆ มา ซึ่งเป็นเฉพาะในตอนที่ข้าพเจ้า ได้มีโอกาสเข้าร่วมรับฟังการสนทนาและนำลงกระทู้ ได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป ๑๖ พ.ค. ๒๕๕๓
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป ๒๙ ส.ค. ๒๕๕๓
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป ๑๐ ธ.ค. ๒๕๕๓
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป ถูกจิตร ๑๓ เมษายน ๒๕๕๕
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป ถูกจิตร ๑๓ เมษายน ๒๕๕๖
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป ถูกจิตร ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖
เป็นที่ทราบกันทั่วไปสำหรับสหายธรรมว่า การสนทนาธรรมที่บ้านพี่หมอทวีปและคุณพรทิพย์ พิเศษกว่าที่อื่นๆ ตรงที่ท่านเจ้าของบ้าน ท่านเป็นผู้ที่ชอบทำอาหาร นอกจากท่านจะมีเมตตา ให้ทุกคนได้ฟังพระธรรมอันเลิศที่สุดในสถานที่อันอบอุ่นแล้ว ท่านยังมีความสุข ที่จะคัดสรรและปรุงอาหารรสเลิศนานาชนิด ด้วยมือของท่านเอง ให้ทุกคนได้รับประทานอย่างเต็มที่ ทุกครั้ง ข้าพเจ้าเคยปรารภไว้ในครั้งก่อนๆ ว่าข้าวต้มปลากระพงของพี่หมอ เป็นสุดยอดข้าวต้มปลา ที่นอกจากจะอร่อยและสดมากๆ แล้ว ยังควรที่จะเรียกว่า "ปลาต้มข้าว" มากกว่า เพราะใส่เนื้อปลาเยอะมากๆ มาในวันนี้ พี่หมอบอกว่าได้ปลาตัวโตถึง ๑๙ กิโลกรัม ผลที่ออกมาคือ เมื่อทำเสร็จ คนตักแจกคือน้องตองและสารวัตรกุ้ง ตำรวจสาวผู้น่ารักของชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ได้รับการขอร้องเพิ่มเติมจากทุกคนว่า ขอให้ตักข้าวให้ด้วยไม่ใช่มีแต่ปลาและน้ำข้าว โธ่...ก็พี่หมอของผม ท่านทำหนักกว่าเดิมเสียแล้ว ครั้งนี้ เป็นปลาต้ม (น้ำ) ข้าวขนานแท้เลยจริงๆ ครับ ข้าวที่ตักมาแทบนับเมล็ดได้เลย นอกนั้นมีแต่ปลากระพงสดแจ๋ว ชิ้นโตๆ หนามาก อิ่มอร่อยอุ่นท้อง สมการรอคอย และที่พิเศษ พี่หมอทำปลาร้าทรงเครื่องหอมอร่อยรสละมุน แบบดั้งเดิม ให้รับประทานด้วย สำหรับอาหารกลางวัน นอกจากปลาร้าทรงเครื่องแล้ว ก็มีขนมจีน น้ำพริก น้ำยา และแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายแท้ๆ ปลาทูต้มเค็มที่ขายดีมากๆ หมดในเวลาอันรวดเร็ว และในครั้งนี้ คุณแม่ของคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) ยังทำหลนเนื้อปูและกุ้งแม่น้ำตัวโตๆ ที่อร่อยมากๆ มาร่วมด้วย ยอดเยี่ยมถึงขนาดที่อาจารย์อรรณพยกนิ้วให้เลยทีเดียวนะครับขออนุโมทนาพี่หมอ คุณทิพย์ คุณแอ๊ว และท่านอื่นๆ ที่นำขนม-อาหารอื่นๆ มาสมทบด้วยครับ
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรม ในช่วงเช้าของวันนั้น มาฝากให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณา เป็นการสนทนาที่ย้ำเตือน ถึงความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ว่า เป็นแต่ธรรมะเท่านั้น ที่เกิดขึ้นและดับไป แต่ไม่รู้ เหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดการรู้ได้ มีเพียงประการเดียว คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งเป็นหนทางเดียว จริงๆ ไม่มีหนทางอื่น
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ การศึกษาพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ละท่านก็มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม แต่ก็ดูเหมือนว่า ขณะที่ฟัง ก็มีการสนใจบ้าง อาจจะคิดเรื่องอื่นบ้าง เข้าใจบ้าง และ ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ดูเหมือน หลังจากได้ยินได้ฟังพระธรรมแล้วก็ลืมครับ ท่านอาจารย์ ก็ดูเหมือนเป็นปรกติเลย อย่างนี้หรือเปล่าครับ หรือว่า การสะสมยังไม่เพียงพอ เพราะว่า ขณะนี้ ธรรมะก็มี กำลังปรากฏอยู่
ท่านอาจารย์ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า? (หัวเราะ) ก็ต้องถามทุกคน ต้องเป็นแน่นอน จะไม่เป็นอย่างนี้ไม่ได้ มีใครบ้าง? ที่ไม่ลืมอะไร กำลังเห็นดอกไม้ ก็ลืมอย่างอื่นแล้ว กำลังเห็นคนนี้ ก็ไม่ได้นึกถึงคนอื่นแล้วเพราะเหตุว่า สภาพธรรมะ เกิดดับสืบต่อ เร็วมาก แค่ได้ยินอย่างนี้ อัศจรรย์แล้ว เพราะว่า ไม่เห็นปรากฏอย่างที่พูด บอกว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดหรืออย่างที่ฟังเลย แต่ทั้งนี้ก็คือว่า เร็วจนกระทั่ง เป็นอย่างนั้น ไม่ปรากฏการเกิดดับเลย
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม สบายๆ "เป็นบุญ" จากที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนในชาตินี้ แต่อาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ในชาติก่อนๆ จึงมีปัจจัยที่จะทำให้ ได้อยู่ ณ ที่นี้ ที่ไหนก็ได้ ตรงไหนก็ได้ ที่มีเสียง ที่สามารถที่จะทำให้ได้ยิน "คำ" ซึ่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็รู้ด้วยว่า "คำนี้" ถ้าไม่ได้สะสมบุญมา ไม่มีทางที่จะได้ฟังหรือได้ยิน หรือ ได้ยินแล้วก็ผ่านไป เพราะเป็นเพียงแค่ "เสียง"แต่ว่า ความจริงแล้ว แต่ละเสียง ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ เป็นวาจาสัจจะ ซึ่งกล่าวถึง สิ่งที่ยากที่จะรู้ ที่จะเข้าใจได้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่รู้ว่า ธรรมะ ลึกซึ้งมาก ละเอียดมาก ได้ยินได้ฟังแล้ว ก็เกิดความปีติ ที่ได้เข้าใจ แม้เพียงเล็กน้อย แต่ว่า ถ้าเป็นคนโลภ ไม่รู้ความจริง คิดว่า ฟังแล้ว จะต้องไปพยายามทำความเพียร ที่จะรู้ความจริงอย่างนั้น อย่างนี้ หรือว่า ไปต่อ ไปแต่ง ไปเติม ว่าทรงสอนอย่างนี้ แต่อาจจะมีอย่างโน้นหรือเป็นวิธีอย่างนั้น ซึ่งเราสามารถที่จะทำให้ปัญญา ซึ่งเพียงได้ยิน ได้ฟัง สามารถจะถึงระดับที่ไปรู้ความจริงได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย และ ผู้นั้น ก็เป็นผู้ประมาทจริงๆ ไม่เข้าใจ แม้แต่คำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง เทียบไม่ได้เลย แต่ละคำที่ตรัส กับผู้ที่ได้บำเพ็ญบุญมาแล้ว ที่ได้เฝ้าพระองค์ในครั้งนั้น เพียงฟัง ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ท่านเหล่านั้น สามารถที่จะเข้าใจได้ทันที เพราะสะสมมาแล้ว แล้วก็ละความสงสัย การสะสมความเข้าใจนี้ ไม่สูญหายเลย ถ้ามีมาก พอได้ยิน ก็เข้าใจได้สภาพธรรมะ ก็สามารถที่จะปรากฏ ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น แต่ละคน ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะ คนในครั้งโน้น ที่สะสมบุญมา ที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสได้หมดสิ้น หรือจะถึงความเป็นพระอนาคามี สามารถที่จะดับความยินดี ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฐฐัพพะ หรือว่า สามารถที่จะอบรมมา จนกระทั่งได้ฟังพระธรรม แล้วรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้น ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ใครได้ยินแต่ละคำ เข้าใจแค่ไหน? ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ฟังต่อไปอีก เพราะรู้ว่า ถ้าไม่มีการฟังต่อไป "ลืมแน่" ไม่นานเลย จากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่ง ก็ลืมแล้ว
เพราะฉะนั้น การที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้มีความเข้าใจมั่นคง ไม่มีหนทางอื่นเลย
แล้วลองคิดดู "คำ" ที่สามารถทำให้ได้รู้ความจริง ของ สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็น "คำ" ที่หายากไหม?เพราะยังไงๆ ฟังไปเท่าไหร่ สิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ยังไม่ปรากฏ ว่าเกิดขึ้นแล้วดับไป และเป็นลักษณะของสภาพธรรมะที่มีจริงๆ แต่ละอย่าง เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา มีจริงๆ กำลังปรากฏให้เห็น "เห็น" มีจริงๆ เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป แต่ละคำ ทิ้งไม่ได้เลย ความจริงเป็นอย่างนี้ สามารถที่จะรู้ได้อย่างนี้ แต่ถ้ามีความต้องการ หรือมีความเป็นตัวตนขึ้นมาแทรก เพราะสะสมความไม่รู้ และ ความต้องการมานาน ก็บิดเบือน อยากจะรู้มากกว่านี้อีก ทำอย่างไรถึงจะรู้มากกว่านี้ "ผิดทันที" หันหลังให้พระสัทธรรมทันที
แสดงให้เห็นความจริงที่ว่า เมื่อตรัสรู้แล้ว ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงธรรมะ เพราะ ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่เมื่อบำเพ็ญบารมี ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้ว่า ผู้ที่สะสมปัญญามา ที่สามารถที่จะเข้าใจได้ มี จึงได้ทรงแสดงธรรม เวลาก็ผ่านมา และผู้ที่เคยเกิดในครั้งนั้น ก็ไม่รู้ว่าสะสมปัญญาต่อมา หรือว่าห่างเหินไป หรือว่า มีอกุศลมากมาย จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังอีกหรือเปล่า และ เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ก็เป็นผู้ที่ "รู้ตัวเอง" ตามความเป็นจริง ซึ่ง "คนอื่น" รู้ไม่ได้ ว่าสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ เมื่อทรงตรัสรู้อย่างไร ก็แสดงธรรมะให้คนอื่นได้รู้ ได้เข้าใจ อย่างนั้น
เพราะฉะนั้น "ทุกคำ" ไม่ผิดจากสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ให้ "ค่อยๆ เข้าใจขึ้น" จนกว่าจะถึงเวลาที่ คลายความติดข้อง สภาพธรรมะปรากฏ จนกระทั่งถึงการประจักษ์แจ้ง การเกิดดับ "เป็นปรกติ"
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ที่มีข้อความกล่าวถึง สิ่งที่มีขณะนี้ เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เห็นได้โดยยาก ก็ดูเหมือนกับ ถ้ากล่าว ทุกท่าน ก็คงได้ยินได้ฟัง เรื่องของการเห็น การได้ยิน ก็เหมือนเป็นปรกติ แต่ความลึกซึ้งของเขา หมายถึงว่า ความรู้ กว่าที่จะเข้าใจ หรือว่า เป็นสิ่งที่ดูเหมือนเป็นปรกติ แต่เหตุใด จึงกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งจริงๆ
ท่านอาจารย์ ปรกติ "แต่ไม่รู้" ไงคะ ใช่ไหม? แล้วรู้ได้ แต่จะรู้ได้อย่างไร? ถ้าไม่ฟังพระธรรม ไม่พิจารณาจริงๆ ถึงประโยชน์ และ คุณค่า ที่ "เริ่ม" เข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะเหตุว่า เป็นการอบรม เจริญปัญญา ทุกครั้งที่ได้ฟัง เพราะว่า "ทุกคำ" ต้องเป็นปัญญา ทั้งหมด "พุทธะ" ผู้ตรัสรู้ด้วย "ปัญญา" ถ้าไม่มีปัญญา รู้ไม่ได้ เพราะว่า เกิดมา ไม่ได้มีปัญญา ที่จะเห็นว่า "เห็น" เป็นสิ่งที่เกิดดับ ไม่ใช่เรา "ได้ยิน" เกิดขึ้นเมื่อไหร่ "ได้ยิน" แล้วก็ดับไป แล้วก็ "ไม่ใช่เรา" เพราะ ดับไปหมดแล้ว แล้ววันหนึ่ง วันหนึ่ง เราคิดอย่างนี้ บ้างหรือเปล่า? ไม่เคยเลย ใช่ไหม?
แล้วสิ่งที่ปรากฏนี้ ไม่เหมือนกับความเป็นจริงเลย เพราะเหตุว่า เหมือนกับเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยงตลอดไป ไม่ได้ปรากฏการเกิดดับ และ ไม่ได้แยกขาดจากกันด้วย เช่น "เห็น" กับ "ได้ยิน" ไม่เคยคิดว่า เป็นคนละขณะ ดูเหมือนพร้อมกัน แล้วยังมี สุขทุกข์อีกมากมาย เหมือนพร้อมกัน แต่ว่า ตามความเป็นจริง เป็น "ลักษณะ" ของ "แต่ละหนึ่ง" ซึ่งรวมกันเมื่อไหร่ ก็ยึดถือ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เรียกว่า "คน" ไม่มี "เห็น" ไม่มี "ได้ยิน" ไม่มี "ตา" ไม่มี "หู" ไม่มีส่วนต่างๆ อวัยวะต่างๆ อะไรมารวมกันเลย จะเป็น "คน" ได้ไหม? หรือ แม้แต่ดอกไม้สักดอกหนึ่ง ถ้าแยกให้ละเอียดยิบ ขาดออกจากกัน จะเป็นดอกไม้ไหม? ก็ไม่ได้ แต่แยกได้ แล้วก็เป็นแต่ละหนึ่ง ด้วย รวมกันเมื่อไหร่ หลงเข้าใจผิด เมื่อนั้น เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงเลย
แล้วก็จะอยู่ในโลกอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ แล้วก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะเหตุว่า ไม่มีสภาพธรรมะใด ที่ยั่งยืน ฟังดู เหมือนอีกนาน แต่ว่าความจริง ไม่นานเลย เพราะความจริง "เห็น" ขณะนี้ เกิดแล้วดับ "ได้ยิน" เกิดแล้วดับ อะไรยั่งยืน? ไม่มีอะไรยั่งยืนเลย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรอนาน จนกว่าจะจากโลกนี้ไป เดี๋ยวนี้ ก็กำลังเป็นอย่างนี้ แต่ไม่รู้!!!
อ.วิชัย ครับท่านอาจารย์ครับ ถ้ากล่าวถึงโดยปรกติของบุคคลทั่วไป ก็ยังมีความสำคัญแน่นอน ว่าเป็นตัวเรา แม้ในขั้นของการฟังธรรมะ การที่จะกล่าวถึง ปัญญา การที่จะเห็นจริงๆ และมีความเข้าใจอย่างมั่นคงจริงๆ ว่าความรู้ที่จะเกิด ก็ไม่ใช่เรา ไม่มีการที่จะบังคับบัญชาให้เกิดได้ แต่ว่า ด้วยการสะสมมา นานแสนนาน ที่จะยึดถือทุกอย่าง ว่าเป็นเราบ้าง เป็นของเราบ้าง เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ที่จะค่อยๆ คลาย แม้จากการได้ยินได้ฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจ เพราะเหตุว่า ปัญญา บังคับบัญชาไม่ได้เลย การที่จะมีความมั่นคงอย่างนี้ครับ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมแต่ละคำ ที่คิดว่าเข้าใจแล้ว เช่น ธรรมะ ไม่ใช่เรา ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ก็แสดงความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ความหมายของอนัตตา ก็มีอีก แต่แค่ ๓ อย่างนี้ ก็น่าจะเพียงพอ สำหรับที่จะไม่ลืม ว่า สิ่งที่มีจริง จริง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ เวลาที่ลืม เป็นธรรมะหรือเปล่า?
อ.วิชัย เป็นธรรมะ ครับ
ท่านอาจารย์ แต่ ขณะนี้ ก็ไม่รู้ เวลาสนุกมาก ร้องเพลง รื่นเริง เป็นธรรมะหรือเปล่า?
อ.วิชัย ก็เป็นด้วยครับ
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ เมื่อเช้านี้ รับประทานอาหาร ก็ไม่รู้ ตื่นมา ก็ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งวัน แล้วอย่างนี้หรือ? ที่จะไปรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมะ ที่เกิดดับสืบต่อ เร็วมาก? เพราะฉะนั้น ไม่มีทางเลย ที่ความไม่รู้ จะไปเห็นถูก เข้าใจถูก ความรู้ มีจริงๆ ขณะนี้ ที่ไม่รู้ เป็นธรรมะ ขณะที่กำลังเข้าใจ ตรงกันข้ามเลย ใช่ไหม? ก็เป็นธรรมะ
รวมความว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีจริงๆ มีลักษณะอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งซึ่งมีจริง ซึ่งเกิดแล้วดับ "ทุกคำ" ถ้าเข้าใจอย่างมั่นคง คิดดูสิ "ปัญญา" ไหม? ไม่ว่าจะเห็นอะไร? เมื่อไหร่? ที่ไหน? แม้แต่คำว่า "เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้" แค่นี้ ฟังแล้วเข้าใจ ใช่ไหม? แล้วก็ "ลืม" แสดงว่า ไม่มั่นคง เพราะฉะนั้น จะมั่นคง ต่อเมื่อ "ไม่ลืมทุกคำ" ที่เคยได้ยิน และ เคยเข้าใจ
ยาก นะคะ เคยเห็น เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วจะเริ่มเข้าใจใหม่ ให้ถูกต้องด้วย ว่าขณะนี้ มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็หลับตา แค่นี้ เห็นไหม? ก็ไม่มีอะไรปรากฏ ก็ยังจำไว้อีก กว่าความจำ ซึ่งเป็นอัตสัญญา จะค่อยๆ จางลง และ สภาพที่เป็นอนัตสัญญา ปรากฏ เมื่อปัญญา ถึงระดับที่ รู้แจ้งสภาพธรรมะที่ปรากฏ "ตามปรกติ" , "ตามปรกติ" เพราะเหตุว่า "ขณะนี้" ไม่มีใครหวังว่าจะให้อะไรเกิด แต่ "สิ่งนั้น" ก็เกิดแล้ว
ได้ยิน "เสียง" ไหม? ไม่ได้ต้องการให้ "ได้ยิน" เลย ก็ได้ยินแล้ว "คิด" หรือเปล่า? ไม่ได้เตรียมตัวจะคิดอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ "คิด" ก็เกิด เพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือว่า "ทุกคำ" เป็น "ปัญญา" ของผู้ที่ได้ยินได้ฟัง แล้ว ไตร่ตรอง จนกว่าจะมั่นคง และรู้ว่า สภาพธรรมะ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่แสวงหา "หนทางอื่น" เพราะรู้ว่า แม้เดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้ เวลาที่เราไปทำอย่างนั้น อย่างนี้ ที่โน่น ที่นี่ ได้อย่างไร?
พี่อรวรรณ กราบเท้าท่านอาจารย์ค่ะ ดูเหมือนว่า เกิดมา ไม่รู้อะไรมากมาย ติดข้องมากมาย แล้วกว่าจะได้จอคำสอนที่แท้จริง ของพระพุทธเจ้า ที่ท่านอาจารย์นำมาสอนพวกเรา อย่างที่มครไปทำอย่างอื่นมา ไปปฏิบัติ ไปทำอะไรมา ก็จะทราบว่า คือ ตอนนั้นไป ก็ไม่แน่ใจว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ แต่ยังไม่รู้ว่า ใช่ คือ อะไร? ก็ไป จนกระทั่งมาพบท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ขอโทษค่ะ ไม่ใช่คิดว่า ใช่ หรือ? ที่ไป? (ทุกคนหัวเราะ)
พี่อรวรรณ ท่านอาจารย์ อย่างนี้ค่ะ มันเหมือนกับว่า ชีวิตมีความทุกข์ตอนนั้น ก็ต้องไปทำอะไร ไปหาธรรมะเพื่อดับทุกข์ ก็ไปเจออะไรที่ ตอนนั้นที่เจอ ก็คิดว่าจะดับทุกข์ได้ ก็ไป แต่พอไป ก็ที่จะมาฟังท่านอาจารย์เพราะว่า ขณะไป มีคำถามเวลาไปตรงนั้น จะถามว่า เอ๊ะ!!! มันอย่างไร? มันอนัตตาไม่ใช่หรือ? แต่ก็ไม่รู้ว่า ที่ใช่ คืออะไร? จนกระทั่งมาพบท่านอาจารย์ที่วิทยุ
ทีนี้ จะเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ คือ พอมาฟังแล้ว กว่าจะเจอก็ยาก พอเจอแล้ว เนื่องจากความไม่รู้ แล้วก็ความต้องการปัญญา ที่มากกว่าที่เข้าใจ ต้องใช้คำนี้ คือ ความเข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้น อยากรู้มากกว่าที่รู้ ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เครื่องกั้น ก็ดูเหมือน เมื่อพบหนทางแล้ว ก็จะมีเครื่องกั้น เช่น ตัวเรา แล้วก็มีความ อยากรู้ มากกว่าที่เข้าใจ ตรงนี้ ก็เป็นเครื่องกั้นที่สำคัญ ถ้ารู้ตัว ก็เหมือนกับว่า ไม่เดินตกถนนค่ะ ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่รู้ตัว ก็ดูเหมือนว่า จะถลำไปในทางที่มันไม่ใช่ เยอะ ก็จะไม่ถูกทางเสียที ก็จะเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ว่า การฟังเข้าใจจริงๆ เท่านั้น ที่จะไม่ให้ไปสู่หนทางที่ตกข้างถนนน่ะค่ะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เพราะว่า สะสมความไม่รู้ และ ความเป็นเรา มานานแสนนาน เมื่อได้ฟังคำว่า "ธรรมะ" สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา คนที่สะสมความเข้าใจ และ มั่นคง เวลาอกุศลเกิด เดือดร้อนไหม?
พี่อรวรรณ ถ้ามั่นคง ก็ไม่เดือดร้อน
ท่านอาจารย์ เพราะว่า อกุศลเกิด เป็นอย่างนั้น จะรุนแรง จะมากมาย จะร้ายกาจอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่สะสมปัญญา ที่จะรู้ว่า ขณะนั้น เป็นธรรมะ ก็เป็นไปกับอกุศล คิดทุกวัน ทุกคนเดือดร้อน ในเหตุการณ์ต่างๆ โดยที่ไม่เข้าใจว่า "เป็นธรรมะ"
เพราะฉะนั้น การเข้าใจว่า "เป็นธรรมะ" จึงมี "ขั้นฟัง" "ขั้นฟัง" นี่ไม่สงสัยเลย จิต เป็น จิต ,เจตสิก เป็น เจตสิก เจตสิกแต่ละหนึ่ง ก็ทำหน้าที่ของตนๆ แต่พอเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้!!! รู้ไหม? ไหนผัสสะ? ไหนเวทนา? ไหนเจตนา? ทั้งๆ ที่มีตัวจริงๆ ก็ไม่รู้ เพราะว่า เป็นแต่เพียง "เรื่องราว"
เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ว่า ทั้งๆ ที่กำลังฟัง "เริ่มเข้าใจเรื่องราว" ก็ยังไม่ใช่หมดความเป็นตัวตน หรือ ความเป็นเรา "ปัญญา" ที่จะดับกิเลสได้ ไม่ใช่ปัญญาขั้นนี้ แต่ต้องเป็นปัญญา ที่สามารถที่จะ "รู้ความจริง" ตรง ตามที่ได้ฟัง เช่น จิตเกิดขึ้น ทีละหนึ่งขณะ ถ้าขณะนี้ เว้น ไม่มีจิตเลย อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ แน่นอน
แต่จิตเกิดเมื่อไหร่ เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่กำลังปรากฏ และ เพียงสิ่งเดียว ซึ่งเวลานี้ ไม่เป็นอย่างนั้น นี่คือ การฟังอย่างแยบคาย ฟัง อย่างที่รู้ว่า การรู้ความจริง ที่จะประจักษ์ความจริง ต้องต่างกับขณะนี้ แน่นอน ใช่ไหม?
เพราะว่า แม้แต่จิตหนึ่งขณะ "เกิด" ใครรู้? เร็วมากแค่ไหน? ขณะนี้ นับไม่ถ้วน เลย นั่นงาช้าง นี่โต๊ะ นี่กระเป๋า นี่ดอกไม้ไปหมดทุกอย่าง ทันทีที่ "เห็น" ก็แสดงว่า "จิต" ต้องเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ไม่สามารถที่จะรู้การเกิดดับของจิตหนึ่งขณะ แต่ สามารถเข้าใจจิต ซึ่งเกิดดับสืบต่อ ให้รู้ว่า มีสภาพรู้ ธาตุรู้ โดยเป็น นิมิต ของจิต
เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจแล้ว เราอยู่ในโลกที่ "ลวง" ระดับไหน? เห็นนักมายากลเขาเล่นกล น่าอัศจรรย์ ช้ากว่าจิตเท่าไหร่? ยังน่าอัศจรรย์ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดดับสืบต่อขณะนี้ หนึ่งขณะ นี่ เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะจิตเกิดดับสืบต่อ ให้รู้ว่ายังมีธาตุรู้ โดยเป็น นิมิต ของจิต อย่าง "จิตเห็น" เฉพาะ "เห็น" กี่ขณะ? นับไม่ถ้วน ถึงได้ "ปรากฏ" อย่างนี้ นั่นคือ นิมิต ของจิตเห็น ที่จะรู้ว่า "จิตเห็น" ไม่ใช่ "จิตได้ยิน" ไม่ใช่ "จิตคิดนึก"
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็คือว่า มั่นใจ มั่นคง ว่า ความไม่รู้ ที่จะค่อยๆ หมดไปได้ มีหนทางเดียวคือ เมื่อ "ค่อยๆ เข้าใจขึ้น" เท่านั้น ถ้า "ตัวตน" คิดจะไปทำอะไร ใครบอกให้เราปฏิบัติอย่างนี้ แล้วจะเป็นพระโสดาบัน หรืออะไรก็ตามแต่ วิปัสสนาญาณ จะเกิด เขาเข้าใจคำที่พูด แค่ไหน? หรือว่า เพียงแต่ "พูดตาม" แต่ว่า "ความหมาย" ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ไม่ใช่อยู่ดีๆ "วิปัสสนาญาณ" แค่ฟัง ก็จะเกิดแล้ว หรือ ไปนั่งทำอะไร ก็จะเกิด โดยที่ "ขณะนี้" ไม่เข้าใจอะไรเลย
เพราะฉะนั้น ก็น่าจะคิด ไปเพื่อจะเป็นพระโสดาบัน? หรือว่า จะเข้าใจธรรมะ? ผู้มีปัญญา จะตอบว่าอย่างไร? "เข้าใจธรรมะ" เพราะเหตุว่า ปัญญา คือ เข้าใจ เป็นพระโสดาบัน โดยไม่เข้าใจ ไม่มีปัญญา มีที่ไหน? และ พระโสดาบัน ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้หรือ?
แต่ว่า ก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน ก็ต้อง "ฟัง" จนกระทั่ง สามารถที่จะ "เริ่มเข้าใจ" ทีละเล็ก ทีละน้อย มาก ไม่ต้องไปหวังมากมาย ว่าจะเข้าใจมากๆ อย่างที่ได้ฟังชาตินี้ แต่ว่า จากการ "เริ่มเข้าใจ" และ "ไม่หวัง" แสดงความมั่นคง ว่าเริ่มเข้าใจว่า ธรรมะ เป็น ธรรมะ ไม่ใช่เรา แค่มั่นคงว่า ธรรมะ เป็น ธรรมะ ก็ยาก ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มั่นคงจริงๆ เดือดร้อนแล้ว หาทาง พยายามระงับแล้ว ขณะนั้น ไม่ได้เข้าใจ ว่า "เป็นธรรมะ"
เพราะฉะนั้น แม้แต่จะเข้าใจถูกต้องในขณะนี้ หรือ ในขณะใดก็ตาม ที่ได้สะสมความเข้าใจมามากพอ ที่จะเริ่มเข้าใจว่า "เป็นธรรมะ" แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ทั่วตลอด ใช่ไหม? นานๆ ก็อาจจะมีการเกิดขึ้น ระลึก สักขณะ ที่เป็นธรรมะ และ คิดดูว่า นานแสนนาน จะเกิดขึ้น หนึ่งขณะ แต่ว่า สะสมมาเท่าไหร่? ทั้งวัน ที่ไม่รู้ทั้งปี ที่ไม่รู้ ทั้งชาติ ที่ไม่รู้ ทั้งกัปป์ ที่ไม่รู้
เพราะฉะนั้น กว่าธรรมะ โดยความเป็นอนัตตา จะมีปัจจัย ที่จะเกิดอีก จะมาก หรือ จะน้อย ตามปัจจัยนั่นแสดง ความมั่นคงแล้ว ว่าเริ่มเข้าใจขึ้นว่า ธรรมะ เป็น ธรรมะ "ไม่ใช่เรา"
เพราะฉะนั้น กว่าจะหมด "ความเป็นเรา" ได้ ผู้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา และ "ตรง" จริงๆ ว่า เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยไม่ใช่เราไปทำ แต่ เพราะ "ฟัง" จนกระทั่งขณะนั้น มีปัจจัยที่จะรู้ทันที ที่สภาพธรรมะนั้นเกิด ไม่ว่าจะเป็น ความสงสัย ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ "เป็นธรรมะ" แล้วเมื่อไหร่จะทั่ว? ทั้งวัน ที่จะไม่สงสัย?
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ต้อง "เข้าใจ ด้วยตัวเอง" ต้องเป็น "ความเข้าใจ ของเราเอง" ใครจะบอกว่าเราไม่เข้าใจ แต่เราเข้าใจ แปลก เพราะว่าเขาไม่รู้ เขาจะรู้ได้อย่างไร? แต่ข้อสำคัญ คือ ตัวเอง ต้องเป็นคนที่ "ตรง" เพราะฉะนั้น เราจะรู้ไหม? วันไหน? จะมีการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้? "เข้าใจ" แต่ไม่ได้รู้เฉพาะตรงลักษณะหนึ่ง ลักษณะใดเลยทั้งสิ้น และ เมื่อไหร่จะรู้? รู้ไหม? หนึ่ง ไม่รู้ สอง รู้ไหมว่า จะรู้อะไร? ก็รู้ไม่ได้ เพราะว่า ยังไม่เกิดขึ้น
อีกสิบปี อีกร้อยปี อีกชาติหนึ่ง หรือ อีกเท่าไหร่ก็ตามแต่ แต่เมื่อปัญญา สะสมมาแล้ว รู้สิ่งนั้น โดยไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน เพราะ เป็นอนัตตา ความเข้าใจความเป็นอนัตตา ก็มั่นคง เพราะสภาพธรรมะ ปรากฏชัดเจน ว่า แม้แต่การที่จะเพียง รู้ลักษณะหนึ่ง ลักษณะใด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เพราะ เป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น จะไม่มีคำว่า "ทำสติ" หรือว่า ไป "ทำวิปัสสนา" หรือว่า "จะเจริญสติปัฏฐาน" ไม่มี "ความเป็นตัวตน" แต่มี "ความเข้าใจธรรมะ" ขึ้น เรื่อยๆ ค่อยๆ คลาย ชำระล้างจิต ซึ่งเต็มไปด้วย "ความไม่รู้" และ "ความติดข้อง" มากมายมหาศาล จนกระทั่ง ค่อยๆ สะอาด พอที่จะมีการสามารถ รู้ลักษณะที่เราได้ยิน ได้ฟังโดยความเป็นอนัตตา ทีละเล็ก ทีละน้อย
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณหมอทวีป และ พี่พรทิพย์ ถูกจิตร
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
เพราะศึกษาพระธรรม จึงได้ฟังสิ่งที่เป็นความจริง
ลึกซึ้งกับประโยคที่ท่านอ.กล่าว.. เราอยู่ในโลกที่ ลวงอัศจรรย์ยิ่งกว่า
นักมายากล ที่ยังช้ากว่าจิตที่เกิดดับสืบต่อขณะนี้ หนึ่งขณะ ..."
และ...." เพราะจิตเกิดดับสืบต่อ อย่าง จิตเห็น เฉพาะ เห็น กี่ขณะ?
นับไม่ถ้วน จิตเห็นไม่ใช่ จิตได้ยิน ไม่ใช่ จิตคิดนึก"
อนุโมทนากับคุณหมอทวีปและคุณพรทิพย์ในกุศลจิตที่ประเสริฐที่สุด
ขอบพระคุณคุณวันชัย ภู่งามที่ถ่ายทอดบรรยากาศได้ละเอียดมากค่ะ
ชีวิตที่เหลืออยู่ การได้เข้าใจพระธรรมเพื่อสะสมความเห็นถูก
จึงเป็นสิ่งประเสริฐที่สุด
อนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขณะที่อ่านหัวข้อนี้ได้พิจารณาไตร่ตรองตามไปด้วย มีความเข้าใจบางสิ่งมากขึ้นค่ะ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง
อนุโมทนาครับผม