ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๓
๐ สัจจะ หมายความถึง กุศลจิตซึ่งตรงต่อการอบรมเจริญกุศล เพื่อเป็นบารมี ยิ่งขึ้น ไม่คลาดเคลื่อนจากความคิดที่เป็นไปในกุศลว่า จะละเว้นการเบียดเบียนผู้ อื่นด้วยวาจาที่ไม่น่าฟัง เพราะรู้ว่าทำให้คนอื่นเสียใจ แต่ว่าบางครั้งเวลาโกรธ ก็ลืม สัจจะนั้นเสียแล้ว หรือว่าไม่ตรงต่อการยับยั้งที่จะไม่พูดวาจาที่ไม่น่าฟังนั้น แต่ละคนที่กล่าวคำไม่จริง คนอื่นยังไม่รู้เลยว่า คำนั้นจริงหรือเปล่า แต่ว่า คนกล่าวนั้นรู้ก่อนว่า คำที่จะกล่าวนั้นจริงหรือไม่จริง
๐ เรื่องของความโลภ ความติดในทรัพย์สมบัติ ในกามวัตถุ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในลาภ ไม่มีวันพอ
๐ โกรธกับไม่โกรธ อย่างไหนดี เห็นโทษหรือยังว่า โกรธไม่ดีแน่ ไม่โกรธดีกว่า ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ด้วยปัญญา ผู้นั้นก็จะค่อยๆ ละคลายความโกรธ และเห็น ประโยชน์ของความสงบ มั่นคงในความสงบ
๐ ชาตินี้ทุกคนมีปัญญาคนละนิดคนละหน่อย แล้วจะเพิ่มขึ้นๆ ต่อไปอีกชาติหนึ่งๆ ก็จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นอีกๆ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญาซึ่งเจริญขึ้น ไม่ใช่ว่า ปัญญาซึ่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม จะเกิดมีได้ฉับพลันโดยไม่ได้สะสมปัญญา และไม่มีการเจริญปัญญาในอดีต
๐ ท่านผู้ฟังในขณะนี้กำลังหลีกเร้นด้วยการฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าไม่ได้ คล้อยตามไปกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหมือนในขณะอื่นซึ่งไม่ได้ฟังพระธรรม
๐ เรื่องของสัจจธรรม เป็นความจริงที่น่ารู้ น่าเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะเหตุว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม เป็นสัจจธรรมนั้น แม้ว่าจะเป็นอกุศลหรือเป็นกุศล ก็เป็นสิ่งที่ปัญญาจะต้อง ระลึกรู้พิจารณาประจักษ์แจ้งว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
๐ แน่นอนที่สุดที่ทุกคนจะต้องยอมรับว่า ถ้าไม่มีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะแล้ว จะสงบจริงๆ เป็นความสุขที่เกิดจากวิเวกสงัด จากความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ทำอย่างไรจึงจะพลิกใจ จากความติดข้องไปสู่การละความติดข้องได้ ซึ่งก็จะต้องอาศัยหลายทางที่จะสะ สมกุศลเป็นบารมี จนกว่าสามารถละได้จริงๆ
๐ ถ้าไม่เป็นกุศล ต้องเป็นอกุศล เพราะว่าอกุศลมีหลายอย่าง อกุศลที่ทุก คนไม่ชอบ คือ โทสะ ความหยาบกระด้างของจิตใจ เวลาเกิดโทสะแล้ว ความนุ่ม นวล ความอ่อนโยน หรือความเป็นมิตร จะไม่มีเลย ในขณะที่โทสะเกิด ไม่ว่าจะกับ มารดาหรือบิดา หรือกับผู้ที่เคยเคารพนับถืออย่างไรก็ตาม พอโทสะเกิดลักษณะ ความหยาบกระด้างของจิตจะเกิดขุ่นเคืองแสดงออกมา
๐ เวลาที่ร้อนมาก ก็เกิดหงุดหงิด ไม่สบาย ขณะนั้นไม่ชื่อว่าขันติ เพราะเหตุว่า อกุศลจิตเกิด แต่ถ้าสามารถที่จะมีกุศลจิตเกิดขณะใด ก็ชื่อว่า มีความอดทนต่อ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจทั้งหลาย แต่ไม่เพียงเท่านั้น จะต้องอดทนต่ออารมณ์ที่น่าพอ ใจทั้งหลายด้วย เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นอารมณ์ที่น่าพอใจ แล้วหวั่นไหวไปแล้ว ขณะนั้นก็เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ไม่ชื่อว่า ขันติ เพราะอดทนต่ออารมณ์ที่น่าพอใจ ไม่ได้
๐ ในขณะที่กุศลจิตเกิด ต้องไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ แต่มีอโลภะ อโทสเจตสิก เจตสิกที่เป็นโสภณธรรมจะต้องเกิดกับกุศลจิตอย่างน้อยที่สุด ๑๙ ดวง ๑๙ ประเภท เช่น สติก็ต้องเกิด หิริต้องเกิด โอตตัปปะต้องเกิด อโลภะต้องเกิด อโทสะต้องเกิด ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งการเกิดขึ้นได้เลย ไม่อยากจะเกิด ไม่มีทาง ใครจะ บอกว่าไม่อยากจะเห็นอีก ไม่อยากจะได้ยินอีก ไม่อยากจะเกิดอีก เป็นสิ่งที่เป็นไป ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะเกิดก็ต้องเกิดแล้วปัจจัยนั้นก็คืออวิชชา ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
๐ วันหนึ่งๆ อยู่ไปอย่างไรก่อนที่จะตายจากโลกนี้ คือ ทุกคนเกิดมาแล้วตายไม่ได้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จะตาย ใครจะทำให้ตายก็ตายไม่ได้ เพราะเหตุว่าจุติจิตเป็นผล ของกรรม จุติจิตเป็นวิบากจิต เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมาแล้วก็ต้องอยู่ไป แต่ว่าการ อยู่ไปแต่ละวันๆ จะอยู่ไปอย่างไรก่อนที่จะตายจากโลกนี้
๐ รู้คุณค่าของปัญญา รู้ว่าปัญญาประเสริฐสุด ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ไม่ ประเสริฐเท่าปัญญา
๐ ชีวิตของเราจะดำเนินไปอย่างไร เราก็ไม่ทิ้งการสะสมอบรมเจริญปัญญา ความจริง มี จะรู้หรือไม่รู้ ก็ตามการสะสมของแต่ละบุคคล
๐ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม จะไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ได้เลย
๐ พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฟังคำของพระองค์ให้เข้าใจ กราบนมัสการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุด เมื่อได้ฟังความจริง ไม่ว่า จะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม
๐ ไม่มีทางที่จะละอกุศลได้ด้วยความไม่รู้
๐ ไม่มีเรา แต่มีธรรม มีแต่ธรรม ไม่มีเรา (ความหมายอย่างเดียวกัน)
๐ อาศัยพระธรรม จึงจะมีที่พึ่ง
๐ ทวนกระแส (ของกิเลส) เพราะปัญญาเข้าใจความจริง
๐ เห็น เกิดเพราะอาศัยที่เกิดคือจักขุปสาทะ (ตา) มีสีเป็นอารมณ์ มีเจตสิก เกิดร่วมด้วย และมีกรรม เป็นปัจจัยทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น พอที่จะเห็นถึงความเป็น อนัตตาของสภาพธรรม ได้ไหมว่า เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจ บังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
๐ ความเข้าใจ ที่ไม่เคยมี ก็ค่อยๆ เกิดขึ้น เมื่อเริ่มฟังพระธรรม
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๒
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอยพระคุณคณะวิทยากรและท่านผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของอ. คำปั่น อักษรวิไล เป็นอย่างยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยครับ