การสนทนาธรรมที่ มีสาระ

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  15 ธ.ค. 2557
หมายเลข  25903
อ่าน  3,821

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การสนทนาธรรมที่ “มีสาระ” ขออนุญาต เรียนถาม ตามประสา ผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจ ผิดพลาดประการใด ขออภัยให้ด้วยค่ะ

๑. โดยภาษาธัมมะ ขอทราบ ความหมาย และ ลักษณะ ของ คำว่า “สาระ”

๒. โดยภาษาตำรา ขอทราบ ความหมาย ทุกนัย ของ คำว่า “สาระ”

๓. ตามที่ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวถึง ความไม่มีสาระของสภาพธรรม หากมีที่อธิบายทำนองนี้หรือ ยิ่งกว่านี้ ขอกรุณาเพิ่มเติมช่องทางให้ด้วยค่ะ

๔. การสนทนาธรรมที่ “มีสาระ” อาจจะ หมายถึง นำให้ รู้ ลักษณะของสภาพธรรมะแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง โดยไม่ต้อง อาศัย ตำรา วิชาการ หรือ เป็นอย่างไรคะ

๕. เพียง “จำ” ความที่ท่านอาจารย์มากล่าว ก็ไม่มีสาระ เพราะไม่รู้จักธรรมะจริงๆ เป็น การสะสม ตำรา วิชาการ ความเป็นตัวตน อัตตสัญญา เพิ่มขึ้น ปิดกั้นที่จะ รู้ “ความจริง” ยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน ยิ่งจำ ก็สะสม อัตตสัญญา หรือคะ ขอความกระจ่าง และ คำแนะนำ ด้วยค่ะ

๖. ท่านอาจารย์สุจินต์ กล่าวถึง การสนทนาธรรมที่ “มีสาระ” และ “ไม่มีสาระ” ไว้ที่ไหน อย่างไรบ้างคะ ขอกรุณาเพิ่มเติมช่องทางให้ด้วยค่ะ

สาธุ อนุโมทนาในกุศลจิต และ ขอบพระคุณสำหรับคำตอบเป็นอย่างยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 ธ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สาระคือสิ่งที่เป็นแก่น สิ่งที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ในที่นี้ไมได้หมายถึงการได้รูป เสียง รส กลิ่น แต่ประโยชน์คือกุศลธรรม นี่คือสาระ เพราะนำมาซึ่งประโยชน์สุขในโลกนี้ ประโยชน์สุขในโลกหน้าและประโยชน์อย่างยิ่ง (นิพพาน) ดังนั้น จะเห็นได้ว่า สาระจึงมีหลายระดับตามระดับของกุศลธรรม ศีลก็เป็นสาระ นำมาซึ่งประโยชน์ ความสุข สมาธิก็เป็นสาระ (สัมมาสมาธิ) ปัญญาก็เป็นสาระ เพราะเห็นถูกตามความเป็นจริง วิมุตติ (การหลุดพ้น) เป็นสาระเพราะประโยชน์สูงสุดของการศึกษาพระธรรม คือ เพื่อหลุดพ้นจากกิเลส ดังนั้นวิมุตติ (การหลุดพ้น) จึงเป็นสาระ

สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่สาระ แต่สาระคือความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้เอง ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจก็ชื่อว่าเป็นสาระ กุศลธรรมประการต่างๆ ก็เป็นสาระ แต่สาระที่ประเสริฐคือการอบรมปัญญาเพื่อเข้าใจธรรมที่มีในขณะนี้ เพราะเป็นไปเพื่อเพื่อดับกิเลส อันเป็นสาระสูงสุด ผู้ที่ถือในสิ่งที่เป็นสาระย่อมได้สาระ คือได้ในสิ่งที่ถูก เป็นประโยชน์ เป็นแก่น นั่นคือเข้าใจความจริงของสภาพธรรมและดับกิเลสได้ในที่สุด

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ...

ความเข้าใจพระธรรมเป็นสาระสำคัญที่สุดในชีวิต

สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นไป

รู้สิ่งเป็นสาระโดยความเป็นสาระ

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 367

๑๐. สารสูตร

ว่าด้วยสาระ ๔ ประการ

[๑๕๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาระ ๔ นี้ ฯลฯ คือ สีลสาระ สมาธิสาระ ปัญญาสาระ วิมุตติสาระ นี้แล สาระ ๔ ประการ

จบ สารสูตรที่ ๑๐

[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 153

เรื่อง สญชัย

"ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่ประสพสิ่งอันเป็นสาระ ชนเหล่าใด รู้สิ่งเป็นสาระ โดยความเป็นสาระ และสิ่งไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริชอบเป็นโคจร ย่อมประสพสิ่งเป็นสาระ"

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 15 ธ.ค. 2557

ไม่มีสาระ ตามที่ท่านอาจารย์สุจินต์อธิบายไว้มีดังนี้ ครับ

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านผู้ฟัง เมื่อกี้นี้ผมได้ฟังคำบรรยายว่า สุข ทุกข์ ทางใจเกิดขึ้นเพราะคิดนึก คิดนึกนี้ไร้สาระ เมื่อก่อนนี้ผมเคยมาพูดที่นี่ว่า คิดนึกเรื่องราว อาจารย์ว่าเรื่องราวจริงๆ ไม่มี ผมไปคิดว่ามันจริงอย่างอาจารย์ว่า และสุข ทุกข์ทางใจก็เกิดเพราะคิดนึก แต่ผมยังรู้สึกว่าคิดนึกมันสำคัญ สมมติว่าตึกนี้เราจะสร้างขึ้นมาได้ เราต้องคิดนึกก่อน เสื้อผ้าที่เราใส่ จะมีเสื้อผ้าขึ้นมาต้องมีการผ่านการคิดนึก อาหารการกินและของที่กินก็ต้องผ่านการคิดนึกเหมือนกัน จึงเป็นอาหารขึ้นมาให้เรากินได้ เมื่อสงครามที่อ่าวเปอร์เซียเกิดขึ้นมาอย่างใหญ่โตนี้ก็เกิดขึ้นเพราะคิดนึก ถ้าไม่มีการคิดนึก สงครามนั้นก็ไม่เกิดขึ้น เครื่องบิน อาวุธ จรวด อะไรๆ ก็เกิดขึ้นเพราะคิดนึก ผมจึงว่าคิดนึกนี่มันสำคัญ เมื่อคืนนี้ได้ยินอาจารย์ว่า คิดนึกนี่ไร้สาระ ผมจึงข้องใจว่า ทำไมจึงไร้สาระ เรื่องราวนี้ไม่มีจริงๆ แต่ผมยังข้องใจว่า ของมันไม่มีจริงๆ ทำไมมันจึงสำคัญนัก เรื่องราวไม่มีจริงๆ มันมีแต่จิตคิดนึก แต่เรื่องราวทำไมจึงสำคัญ ผมจึงข้องใจมานานแล้ว เมื่อคืนได้ยินอาจารย์พูดอีกว่า คิดนึกนั้นไร้สาระ จึงขอถาม

ท่านอาจารย์ สำคัญ ในความหมายที่ว่า ถ้าไม่เข้าใจสมมติบัญญัติแล้วมีชีวิตเป็นอยู่ไม่ได้ ใช่ไหมคะ ที่ว่าสำคัญนี้ แม้แต่จะรับประทานอาหารก็รับประทานไม่ได้แน่นอน ถ้าไม่มีจิตที่คิดนึกถึงจานถึงอุปกรณ์ในการบริโภค เพราะฉะนั้นการมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ว่าคนนั้นเป็นผู้ที่เห็นแล้วไม่คิดได้ยินแล้วไม่คิด ไม่มีใครเลยค่ะในสังสารวัฏฏ์ที่เกิดมาแล้ว จะไม่คิด แต่ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสภาพธรรมตามความจริงว่า แม้การเห็นสี่งที่ประณีต ที่น่าพอใจ หรือเห็นสี่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฉันใด ความคิดนึกของแต่ละคนก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฉันนั้น แล้วแต่การสะสม ซึ่งทำให้โลกนี้ก้าวไปเรื่อยๆ ด้วยกำลังของความคิดนึกสิ่งต่างๆ อยู่เรื่อยๆ

แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจสภาพของโลกคือสภาพของจิต ก็จะรู้ได้ว่า ที่ว่าไม่่มีสาระ หมายความถึงไม่ยั่งยืน ต้องเข้าใจด้วยค่ะ "ที่ว่าไม่มีสาระนั้น ก็คือไม่ยั่งยืน"

ความคิดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับ ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ซึ่งเกิดแล้วไม่ดับ เพราะฉะนั้น ถ้ายังยึดถือมั่นในความคิดว่า เป็นตัวตน เป็นเรา นั่นคือความเห็นผิด แต่ผู้ที่มีปัจจัยที่จะให้คิด เพราะว่าเมื่อเห็น เราก็ต้องคิด เมื่อได้กลิ่น ก็ต้องคิด เมื่อลิ้มรสก็ต้องคิด คิดอยู่ตลอดแม้ว่าจะไม่เห็น ... ไม่ลิ้มรสก็ต้องคิด แต่ควรจะเป็นผู้ที่รู้ความจริงด้วย จะทำให้มีความสุขสงบเพิ่มขึ้น เมื่อรู้ความจริงว่า ความคิดไม่เที่ยง เป็นเพียงชั่วขณะจิตที่เกิดขึ้น แล้วดับไป เพราะฉะนั้นก็ไม่มีการที่จะไปบังคับบัญชาความคิด หรือว่าไม่มีการที่จะไปบิดเบือนเปลี่ยนแปลง การสะสมของเหตุปัจจัย

แต่ปัญญาสามารถที่จะหยั่งลึกถึงการสะสมว่า เพราะเหตุใดจึงคิดอย่างนี้ เพราะว่าบางคนคิดเป็นอกุศลมากเหลือเกิน บางคนก็คิดเป็นกุศล นั่นก็แล้วแต่การสะสม เพราะว่าคงไม่มีใครที่อยากจะมีความคิดในอกุศลเท่านั้น มีแต่อกุศลทั้งวันก็คงแย่ เพราะฉะนั้นก็มีกุศลวิตกด้วย และกุศลวิตกที่ควรจะเพี่มกำลังขึ้น คือต้องประกอบด้วยปัญญา ที่รู้ความจริงว่า แม้แต่ขณะที่คิด ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตเดียว

ทุกคนที่วุ่นวายอยู่ในโลกนี้แล้วจากโลกนี้ไป ลืมหมด หรือจะไปวุ่นวายกับโลกนี้ต่อเมื่อไปเกิดที่อื่น ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ก็วุ่นวายต่อไปกับความคิดนึกในโลกอื่น ซึ่งไปเกิดเป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้ ในภพอื่น พอที่จะเห็นด้วยไหมคะ

คำพูดที่ว่า ไม่มีสาระ ในที่นี้ เพราะว่าเป็น เพียงชั่วขณะจิตเดียว ที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แต่ไม่ใช่หมายความว่า ไม่มีการรู้ว่า สี่งที่เห็นเป็นอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว มีชีวิตอยู่ไม่ได้แน่นอน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 15 ธ.ค. 2557

การพยายามหาชื่อ จำชื่อ สนทนาในเรื่องชื่อ แต่ ไม่ได้สนทนาให้น้อมมาเพื่อเข้าใจสภาพธรรม เพราะสภาพธรรมไม่มีชื่อ ไม่มีภาษาบาลี แต่สนทนาเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงในภาษาที่สามารถเข้าใจ การสนทนา ศึกษาพระธรรมเช่นนี้ ย่อมเกื้อกูลปฏิบัติ เกื้อกูลให้เกิดสติปัฏฐาน เพราะน้อมเป็นไปเพื่อเข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมจริงๆ ครับ อันเป็นสาระที่แท้จริงของการสนทนาธรรม

ส่วนการจำ จำชื่อ ต่างจากจำด้วยปัญญาที่เข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา สถานที่ศึกษาชื่อบาลี ชื่อศัพท์ต่างๆ มีมากมาย สอนอภิธรรม แต่ไม่ได้สอนให้เข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรม การจำชื่อนั้น ก็ทำให้ไม่ได้ทำให้ละคลายความเป็นเรา แต่การสอนที่ตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าได้ยินคำอะไร ก็ไม่ใช่มุ่งมาที่ความหมาย แต่มุ่งให้เข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรม เป็นความจำที่พร้อมกับปัญญาที่ไม่ใช่เข้าใจชื่อ แต่ค่อยๆ เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

สิ่งที่มีสาระแท้จริงคืออะไร [เวปุลปัพพตสูตร]

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 15 ธ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมทุกคำ แต่ละคำ เป็นคำจริง แสดงเพื่อให้เข้าใจความจริง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจไปทีละคำแล้ว จะมีความเข้าใจละเอียดลึกซึ้งได้อย่างไร ถ้าไม่ตั้งต้นที่ว่า คำนั้น คือ อะไร พูดไปทั้งวันก็ไม่รู้อะไร เพราะเต็มไปด้วยความไม่รู้ พูดในคำที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น พระธรรมมีคุณค่ามาก ก็จะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา ไม่ประมาทในแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง เมื่อค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น และที่สำคัญ ธรรมเป็นเรื่องของตัวเองทั้งหมดตั้งแต่ตื่นจนหลับตั้งแต่เกิดจนตาย พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ เรื่องของการเห็น แล้วก็ชอบใจ ไม่ชอบใจ เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาที่เต็มไปด้วยกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง เป็นต้น ไม่ว่าจะใช้พยัญชนะใด ก็ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ต้องฟัง ต้องศึกษาให้เข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ

ประทับใจกับคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในส่วนนี้มาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสว่า ภิกฺขเว (ดูกร ภิกษุทั้งหลาย) เตือนให้ไม่ประมาทในการที่จะได้ยินได้ฟังความจริงที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งยากที่จะได้ฟัง ครับ

นอกจากการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้ว การมีโอกาสได้สนทนาธรรม คือ สนทนาในสิ่งที่มีจริง ก็ย่อมเป็นประโยชน์ เพราะถ้าไม่สนทนาเรื่องธรรม ก็เป็นการพูดคุยเรื่องอื่น ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจความจริงได้เลย ไม่มีสาระ แต่ถ้าได้กล่าวในสิ่งที่มีจริง เกื้อกูลต่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็เป็นสาระ มีประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกเจริญขึ้น และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมจุดประสงค์ของการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมว่า เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อละความไม่รู้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 15 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tanrat
วันที่ 16 ธ.ค. 2557

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารย์ทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Dechachot
วันที่ 16 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
thilda
วันที่ 16 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nopwong
วันที่ 17 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ch.
วันที่ 20 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 24 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ