ว่าด้วยความมีมิตรดี [ทุติยเสขสูตร และ อรรถกถา]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 121 - 122
๗. ทุติยเสขสูตร
ว่าด้วยความมีมิตรดี
[๑๙๕] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุผู้เป็นพระเสขะยังไม่บรรลุอรหัตตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม เราไม่พิจารณาเห็นแม้เหตุอันหนึ่งอย่างอื่น การทำเหตุที่มี ณ ภายนอกว่ามีอุปการะมาก เหมือนความมีมิตรดีนี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีมิตรดีย่อมละอกุศลเสียได้ ย่อมเจริญกุศลให้เกิดมี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ภิกษุใด ผู้มีมิตรดี มีความยำเกรง ความเคารพ กระทำตามคำของมิตรดีทั้งหลาย มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุนั้นพึงบรรลุธรรม อันเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงโดยลำดับ.
เนื้อความแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบ ทุติยเสขสูตรที่ ๗
อรรถกถา ทุติยเสขสูตร
ในทุติยเสขสูตรที่ ๗ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ต่อไปนี้ :-
บทว่า พาหิรํ ได้แก่ เหตุที่มี ณ ภายนอก จากสันดานในภายใน.
บทว่า กลฺยาณมิตฺตตา ได้แก่ บุคคลผู้ที่สมบูรณ์ด้วยคุณ มีศีลเป็นต้น เป็นผู้กำจัดความชั่วร้าย เป็นผู้ส่งเสริมประโยชน์ เป็นมิตรมีอุปการะทุกสิ่งทุกอย่าง ชื่อว่า เป็นกัลยาณมิตร ความเป็นกัลยาณ มิตรนั้น ชื่อว่า กลฺยาณมิตฺตตา.
ในบทว่า กลฺยาณมิตฺตตา นั้นมีอธิบายดังนี้ ตามปกติกัลยาณมิตรนี้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา. กัลยาณมิตรเพราะถึงพร้อมด้วยศรัทธา ย่อมเชื่อการตรัสรู้ของพระตถาคต ย่อมไม่สละการแสวงหาประโยชน์สุขในสัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น เพราะเหตุการตรัสรู้ชอบนั้น เพราะถึงพร้อมด้วยศีลจึงย่อมเป็นที่รักและเป็นที่เคารพ ของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย เป็นผู้น่ายกย่อง คอยตักเตือน ตำหนิบาป คอยว่ากล่าว อดทนถ้อยคำ เพราะถึงพร้อมด้วยสุตะ จึงเป็นผู้กล่าวถ้อยคำที่ลึกซึ้ง มีขันธ์ อายตนะ สัจจะ ปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น เพราะถึงพร้อมด้วยจาคะ จึงเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย เป็นผู้สันโดษ มีความสงัด ไม่คลุกคลี เพราะถึงพร้อมด้วยวิริยะ จึงเป็นผู้เพียรพยายามในการปฏิบัติประโยชน์แก่ตนและคนอื่น เพราะถึงพร้อมด้วยสติ จึงเป็นผู้มีสติมั่น เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรอบคอบ คือ สติอย่างเยี่ยม เป็นผู้ระลึกได้ จำได้แม้สิ่งที่ทำ แม้คำที่พูด นานมาแล้ว เพราะถึงพร้อมด้วยสมาธิ จึงเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นผู้มั่นคง มีจิตแน่วแน่ และเพราะถึงพร้อมด้วยปัญญา จึงย่อมรู้สิ่งที่ไม่วิปริต.
กัลยาณมิตรนั้น แสวงหาคติธรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลด้วยสติ รู้ประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งหลายตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่านในอารมณ์นั้นด้วยสมาธิ ปรามสัตว์ทั้งหลายจากสิ่งไม่เป็นประโยชน์ด้วยความเพียร ย่อมชักชวนในสิ่งที่มีประโยชน์อย่างเดียว. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ปิโย ครุ ภาวนีโยวตฺตา จ วจนกฺขโม คมฺภีรญฺจ กถํกตฺตา โน จฏฺฐาเน นิโยชเย
กัลยาณมิตร เป็นผู้น่ารัก น่าเคารพ น่ายกย่อง เป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือน อดทนถ้อยคำ กล่าวถ้อยคำลึกซึ้ง ไม่ชักชวนในทางที่ไม่ใช่ฐานะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตรย่อมละอกุศล เจริญกุศล เพราะเหตุนั้นบุคคลผู้เป็นกัลยาณมิตร อาศัยภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ยังกัมมัสสกตาญาณให้เกิด ย่อมทำศรัทธาที่เกิดขึ้นแล้วให้คงที่ เกิดศรัทธาแล้วก็เข้าไปหา ครั้นเข้าไปหาแล้ว ย่อมฟังธรรม ครั้นฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคต ด้วยการได้ศรัทธานั้นจึงละการอยู่ครองเรือนออกบวช ทำปาริสุทธศีล ๔ ให้ถึงพร้อม สมาทานธุตธรรม (ธรรมอันกำจัดกิเลส) เป็นไปตามกำลัง เป็นผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่ เข้าไปตั้งสติไว้ มีสัมปชัญญะ เจริญโพธิปักขิยธรรมตลอดคืนยังรุ่ง ในไม่ช้าทำวิปัสสนาให้ตัดขาดอกุศลทั้ง หมดด้วยการบรรลุอริยมรรค และยังกุศลธรรมทั้งปวงให้เจริญถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนา. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนเมฆิยะ ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร หวังต่อสหายดี เพื่อนดี จักเป็นผู้มีศีล จักเป็นผู้สำรวมในปาฏิโมกข์ จักเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร จักเป็นผู้เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย จักสมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย
ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ฯลฯ เพื่อนดี เป็นผู้มีถ้อยคำขัดเกลากิเลส ถ้อยคำเปิดใจอย่างสบาย จักเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว ฯลฯ เพื่อ นิพพาน คือ
๑. อปฺปิจฺฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย
๒. สนฺตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษ
๓. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัด
๔. อสํสคิคกถา ถ้อยคำชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่
๕. วิรยารมฺภกถา ถ้อยคำชักนำให้ปรารภความเพียร
๖. สีลกถา ถ้อยคำชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
๗. สมาธิกถา ถ้อยคำชักนำให้ทำใจให้สงบ
๘. ปญฺญากถา ถ้อยคำชักนำให้เกิดปัญญา
๙. วิมุติติกถา ถ้อยคำชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส
๑๐. วิมุตติญาณทสฺสนกถา ถ้อยคำชักนำให้เกิดความรู้ ความเห็นในการพ้นจากกิเลส.
ด้วยถ้อยคำเห็นปานนี้ ภิกษุจักได้โดยง่าย จักได้โดยไม่ยาก จักได้โดยไม่ลำบาก ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ฯลฯ มีเพื่อนดี จักเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อให้เกิดกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลังใจ มีความเพียรมั่น ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย. ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ฯลฯ มีเพื่อนดี จักเป็นผู้มีปัญญา จักเป็นผู้ประกอบด้วยอุทยัตถคามินีปัญญา (รู้ความเกิดและความเสื่อม) เพื่อให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ อันเป็นการตรัสรู้อย่างประเสริฐ พึงทราบนิมิต คือ การหลุดพ้นจากวัฏทุกข์ทั้งสิ้นว่า กลฺยาณมิตฺตตา อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากชาติชรา เพราะอาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ดังนี้ พึงทราบความแห่งคาถาต่อไปนี้
บทว่า สปฺปฏิสฺโส ชื่อว่า สปฺปฏิสฺโส เพราะเป็นไปกับด้วยความยำเกรง คือ การรับฟัง เป็นผู้น้อมรับโอวาทของกัลยาณมิตร อธิบายว่า เป็นผู้ว่าง่าย อีกอย่างหนึ่ง ผู้ให้โอวาทชื่อปติสสะ เพราะปรารถนาให้เกิดประโยชน์สุข ชื่อสัปปฏิสสะ เพราะเป็นไปกับ ด้วยความปรารถนานั้น ประกอบด้วยความเคารพและความเอื้อเฟื้อ มากด้วยความเคารพยำเกรงในครู.
บทว่า สคารโว ได้แก่ ประกอบด้วยคารวธรรม ๖ อย่าง
บทว่า กรํ มิตฺตาน วจนํ ได้แก่ กระทำตามโอวาท คือปฏิบัติตามโอวาทของกัลยาณมิตรทั้งหลาย
บทว่า สมฺปชาโน ได้แก่ ประกอบด้วยสัมปชัญญะ ๗ อย่าง
บทว่า ปฏิสฺสโต ได้แก่ มีสติ คือ ทำอย่างมีสติ ด้วยสติอันสามารถให้เกิดความมั่นคงของกรรมฐานได้
บทว่า อนุปุพฺเพน ได้แก่ โดยลำดับแห่งศีลวิสุทธิเป็นต้น คือโดยลำดับแห่งวิปัสสนาและลำดับแห่งมรรคในศีลวิสุทธิเป็นต้นนั้น
บทว่า สพฺพสํโยชนกฺขยํ ความว่า พึงถึงคือ พึงบรรลุพระนิพพานอันเป็นอารมณ์แห่งพระอรหัต อันเป็นที่สิ้นสุดกล่าวคือ ความสิ้นแห่งสังโยชน์ทั้งปวง เพราะสังโยชน์ทั้งหมด มีกามราคสังโยชน์เป็นต้น สิ้นไป.
ในสองสูตรเหล่านี้พึงทราบว่า พระศาสดาทรงถือเอาองค์แห่งความเพียรของการบรรลุอริยมรรค ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาทุติยเสขสูตรที่ ๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น