ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  26 ธ.ค. 2557
หมายเลข  25972
อ่าน  3,432

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก คุณทักษพล คุณจริยา และ คุณศิริพล เจียมวิจิตร เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพักริมสนามกอล์ฟรอยัลเจมส์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๔ แล้ว ที่ข้าพเจ้าได้รับโอกาสจากท่านเจ้าบ้านเพื่อร่วมฟังการสนทนา ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมภาพและความการสนทนาธรรมในตอนที่ผ่านมา ได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๗

เนื่องจากท่านเจ้าบ้านคือคุณจริยา เป็นผู้ที่ชื่นชอบต้นไม้และพันธุ์ไม้ ดังที่ได้ทราบแล้ว ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์มาสนทนาธรรม ท่านจึงกราบเรียนท่านอาจารย์ปลูกต้นไม้ไว้เป็นที่ระลึก โดยในครั้งนี้ ท่านกราบเรียนท่านอาจารย์เพื่อปลูกต้นไม้ไว้ถึงสองต้นด้วยกัน ซึ่งคุณจริยา ได้กรุณาส่งประวัติของต้นไม้ทั้งสองต้นมาให้ ซึ่งจะขอนำลงโดยสังเขปนะครับ ต้นแรก คือ แก้วเจ้าจอม ซึ่งเป็นไม้ยืนต้น เป็นพันธ์ุไม้จากหมู่เกาะอินดีสตะวันออก ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาจากประเทศชวา (อินโดนีเซีย) ครั้งเสด็จประภาสและทรงนำมาปลูกในเขตพระราชอุทยานวังสวนสุนันทาปัจจุบัน เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ต้นที่สอง คือ เคี่ยม เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี ครั้งนี้ ทราบว่า มีต้นสักต้นหนึ่งที่ท่านอาจารย์ปลูกไว้ เมื่อครั้งมาสนทนาที่นี่เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ มีต้นสูงกว่าเดิมมากและงามดี นอกจากนั้น ก็มีต้นอื่นๆ ที่ท่านอาจารย์ได้เมตตาปลูกไว้ทุกครั้งเมื่อมาสนทนาธรรม อีกสองครั้ง ทีข้าพเจ้ายังไม่ได้กล่าวถึง คือ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ สุวรรณพฤกษ์, คลอเดียเหลือง (ไม้ยืนต้น) เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ มหาพรหมราชินี (ไม้ยืนต้น) หลังจากที่ท่านปลูกต้นไม้เสร็จ ยังมีเวลาก่อนสนทนาธรรม ท่านเจ้าบ้านจึงพาเดินชมสวน ท่ามกลางอากาศสดชื่นเย็นสบายยามเช้า มองเห็นสนามกอล์ฟแสนสวย เขียวขจี

การสนทนาธรรมในวันนี้ ท่านเจ้าบ้านคือคุณจริยา ได้จัดสถานที่ไว้ใต้ร่มไม้เช่นเคยแวดล้อมไปด้วยดอกไม้ และกล้วยไม้นานาชนิด ที่อวดกลีบดอกงดงาม โดยเฉพาะคัทลียาหลากสี ที่นอกจากจะมีดอกที่สวยงามแล้วยังส่งกลิ่นหอมกรุ่น อบอวลไปทั่วบริเวณ ให้ความรู้สึกราวกับได้ฟังพระธรรมในอุทยานทีเดียว

การได้อยู่ท่ามกลางความรื่นรมย์เช่นนี้ ทำให้ได้คิดพิจารณา ถึงความมีค่าของพระธรรม และ คุณความดี คือ กุศลทุกประการ ที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้บุคคล ไม่เพียงแค่ได้เกิดมาด้วยผลของกุศลกรรมหนึ่ง และได้ซ่องเสพผลของกรรม ไม่ว่าจะวิจิตรมากมายสักเพียงไหนก็ตาม แต่หากตายไปด้วยความไม่รู้เช่นเคย จะประโยชน์อะไรกับโอกาส ที่เป็นไปกับความว่างเปล่าและไร้ค่าเช่นนั้น ในชีวิต

แต่สำหรับผู้ที่ได้รับสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ในชาติหนึ่งๆ ซึ่งทรงแสดงไว้ว่าแสนยากกับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทั้งยังพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติทุกประการ และไม่เพียงเท่านั้น กับโอกาสที่ได้เกิดในสถานที่สมควร มีพระศาสนาคือคำสอนยังดำรงอยู่ ก็ยิ่งเป็นการยาก แม้อยู่ในสมัยและได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้องแล้ว ก็ยังยากที่จะเข้าใจอีกด้วย จึงเป็นผู้ที่มั่นคงขึ้น และเห็นค่าของพระธรรม ว่าเป็นรัตนะอันประเสริฐ เหนือทรัพย์และรัตนะใดๆ ในสากลจักรวาลบุคคลที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนเท่านั้น จะได้พบเจอ และ เป็นผู้ที่ไม่ละโอกาสอันวิเศษนั้นให้ล่วงไปโดยเปล่า ทั้งยังเป็นผู้ที่สะสมอริยทรัพย์อันวิเศษ คือ กุศลธรรม ความดีทุกประการ อันมีปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ซึ่งเป็นยอดของกุศลธรรม ทั้งมวล ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และ ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ให้เราเข้าใจได้

การได้มีโอกาสฟังและเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ตามที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้จึงเป็นกาละที่เมื่อเริ่มเข้าใจแล้ว ย่อมรู้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งโดยแท้ ความเข้าใจจากการฟัง แม้เพียงเล็กน้อย ในแต่ละครั้ง ที่สะสมไปทีละเล็ก ทีละน้อย ย่อมเป็นปัจจัยที่มีกำลัง ให้บุคคล มีการพิจารณา ระลึกรู้ สังเกตุ สำเหนียก เกิดความเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่ปรากฏเป็นไป ที่ "เป็นปรกติ" ในชีวิตประจำวัน เป็นหนทางที่ถูกต้อง ของการสะสมอบรมเจริญปัญญา จนกว่าวันหนึ่ง ความจริงทุกประการที่ได้ฟัง จะปรากฏ ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง ด้วยความเป็นอนัตตา ไม่มีใครล่วงรู้ได้เลย ว่าจะเป็นในขณะไหน แต่เป็นได้ ด้วยการสะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้!!!!

อันดับต่อไป ขอเชิญทุกๆ ท่าน ได้พิจารณาความการสนทนธรรมบางตอนในวันนั้นที่เป็นไปกับความซาบซึ้ง ท่ามกลางความวิจิตรบรรจงของการประดับประดาสถานที่สวยงามเปรียบดังการได้มีโอกาสฟังและสนทนาธรรมอยู่ท่ามกลางสวนนันทวันอันร่มรื่น ในสวรรค์ เห็นปานนั้น...

คุณจริยา ขออนุญาตท่านอาจารย์ค่ะ อยากจะขอความกรุณาท่านอาจารย์ กรุณาทบทวนคำว่า "ธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริง อีกสักครั้งหนึ่ง ได้ไหมคะ? เพราะว่าในที่นี้ มีผู้ใหม่อยู่หลายคนค่ะ

ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกอะไรเลย ได้ไหม? เดี๋ยวนี้!!! ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ หนีไป พ้นไหม? เหลียวซ้าย แลขวา ตราบใดที่ "เห็น" ก็ต้องมี "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" เท่านั้น ไม่ใช่ "เสียง" ไม่ใช่ "กลิ่น" ไม่ใช่"รส" ไม่ใช่"เย็น" ไม่ใช่ "ร้อน" แต่ว่า เป็น "สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น"

เพราะฉะนั้น ถ้าลืมอย่างอื่นหมด แค่ "เห็น" มีอยู่สองอย่าง คือ "เห็น" กับ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น"

เมื่อเป็น "สิ่งที่มีจริง" ภาษาบาลี ภาษามคธี ก็ใช้คำว่า "ธรรมะ" เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ พอได้ยินคำว่า "ธรรมะ" รู้เลย หมายความถึงอะไร "สิ่งที่มีจริงๆ " ในขณะนั้นด้วยกำลังมี!!! ถ้า "ทางหู" หลับตา "เสียง" ปรากฏ "เสียง" มีจริง "ได้ยิน" มีจริง เพราะฉะนั้น ขณะนั้น ก็เป็น "สิ่งที่มีจริงๆ " ในภาษาไทย เปลี่ยนเป็นภาษามคธี ภาษาบาลี ก็คือ "ธรรมะ" เท่านั้นเอง!!! เป็นเรื่องของภาษา ของคำ แต่ละท้องถิ่น ที่ใช้ต่างๆ กันไปถ้าเป็นภาษาจีนก็ได้ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เข้าใจความจริงว่า ขณะนี้ มีจริงๆ ปรากฏจริงๆ เรียกอะไรก็ได้ ไม่เรียกได้ไหม? ไม่เรียกก็ได้ ไม่เรียกก็มี!!! ไปเปลี่ยนให้ไม่มี ก็ไม่ได้ เพราะ "มีจริงๆ "

คุณจริยา ดิฉันขออนุญาตเรียนท่านอาจารย์ต่อนิดหนึ่ง ว่า จากคำว่า "ธรรมะ" คือ "สิ่งที่มีจริง" บางท่าน ก็สงสัยว่า จริงอย่างไร? และ ทำไม? เราถึงต้องไปทราบสิ่งที่มีจริงนั้น? กราบขอบพระคุณค่ะ

ท่านอาจารย์ ถ้าคนตาบอดไม่เห็น แล้วเราบอกว่า สีสันวรรณะต่างๆ มีจริงสำหรับเขา มีจริงหรือเปล่า? ไม่มี เพราะว่า ไม่เห็น เพราะฉะนั้น มี เมื่อ เห็น จริง เมื่อ "เห็น" และ มี "สิ่งที่ถูกเห็น" จริง เมื่อ "ได้ยิน" และมี "สิ่งที่ถูกได้ยิน" จะกล่าวว่าไม่จริงไม่ได้เลย นี่คือ "โลก" แต่ละหนึ่งขณะ หนึ่งขณะ ตั้งแต่เกิด จน ตาย ไม่พ้น แค่นี้เอง

เมื่อวานก็ "เห็น" เมื่อวานก็ "ได้ยิน" เมื่อวานก็ "ลิ้มรส" เมื่อวานก็ "คิดนึก" ก็ "แค่นี้" วันนี้ ก็แค่นี้!!! พรุ่งนี้ก็ อย่างนี้!!! ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นไหม? เพราะฉะนั้น เห็นไปทำไม? คะ? ตอบได้หรือยัง? "เห็น" ไปทำไม? ในเมื่อ "แค่เห็น" แล้วก็หมดแล้ว และ ไม่กลับมาอีกเลย แล้วจะเห็นไปทำไม? คุณจริยา คือ สำหรับตัวเอง แม้ว่าจะคิดว่าเห็นไปทำไม ก็ยังต้องเห็นอยู่

ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้น "เห็น" เพื่อ "เข้าใจสิ่งที่เห็น" ดีกว่า "เห็น" แล้วก็ "ไม่รู้ ไม่เข้าใจสิ่งที่เห็น" พอไม่รู้ ก็ติดข้องทันทีเลย แล้วก็ละไม่ได้ด้วยต้องไม่ลืม อริยสัจจ์ ๔ "ความติดข้องหรือโลภะ" เป็น "เหตุ" และ "ทุกข์" เป็น "ผล" ตั้งต้นจาก ทุกข์ แล้วก็ สมุทัย นิโรธ มรรค

คุณทักษพล ขออนุญาตครับ กราบท่านอาจารย์ และ เรียนถามท่านอาจารย์ ในส่วนที่เกี่ยวกับ การทำกุศล และ การทำสิ่งที่เป็นกุศล จะให้ผลในแง่ที่ว่า ต่อไปข้างหน้า วิบาก คือ ผล เพราะฉะนั้น จากคำสอนของท่านอาจารย์ ความเป็นเราก็ยังมีอยู่ เมื่อได้ยินและเข้าใจแล้ว เราก็จะพยายามทำทุกอย่าง ที่เป็นกุศล เพราะในขณะที่ทำกุศล กุศลก็ไม่เกิด แต่คราวนี้ ยังมีความเชื่อในศาสนาต่างๆ และ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ในพุทธศาสนา ยังมีคำกล่าวที่ว่า นรกและสวรรค์ มีจริง ก็เลยอยากจะกราบท่านอาจารย์ ขอคำอธิบายในส่วนที่เกี่ยวกับ นรกและสวรรค์ ครับ ขอบพระคุณครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ดาว มีดวงเดียว หรือเปล่าคะ? เยอะแยะ มากมาย ถ้าออกไปนอกโลก โลก เป็นดาวดวงหนึ่งหรือเปล่า? คุณทักษพล เป็นครับ ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่เกิดที่ใดก็ตาม ซึ่งมีธาตุรู้เกิดขึ้น เราก็บอกว่า มีสิ่งที่มีชีวิต แล้วแต่จะเรียกว่า เป็นคน หรือว่า เป็นสัตว์ หรือว่า เราจะใช้คำว่า เทวดา หรือ นรก หรือ อะไรก็ตามแต่ ถ้าเป็นที่ว่างเปล่า ไฟลุกโชน แต่ไม่มีสภาพรู้เลย มันก็ไม่ใช่ภพภูมิใดๆ เลย ใช่ไหม? ก็เป็นแต่เพียงโลกนั้น ดาวดวงนั้น กำลังไหม้ หรือว่า จักรวาลจะเป็นอย่างไร? ขณะนั้น ก็ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเลย

แต่ว่า เมื่อมีสภาพรู้ หรือ ธาตุรู้ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ใครไม่มีสิทธิ์จะไปยับยั้งไม่ให้เกิดขึ้นเลย เช่น ดวงดาวทั้งหลาย ใครจะไปยับยั้งไม่ให้เกิด ไม่ว่าจะใช้เรียกดาวดวงไหน ชื่อนั้นอย่างไร ก็ตามแต่ ยับยั้งไม่ให้เกิด (ไม่ได้) ฉันใด "ธาตุรู้" ก็ไม่มีใครไปยับยั้งไม่ให้เกิด เพราะเหตุว่า ความจริง สิ่งที่มีจริง ที่ใช้คำว่า "ธาตุ" ต่างกันเป็น ๒ อย่าง ธาตุชนิดหนึ่ง มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด ต้องเกิดโดยอาศัยกันและกัน ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นลอยๆ หรือใครไปบังคับให้เกิดขึ้นได้เพราะฉะนั้น แม้แต่รูปธาตุ เช่น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ไม่แยกจากกัน ถ้าศึกษาโดยละเอียด เป็นสิ่งที่เกิดมีขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย ฉันใด "ธาตุรู้" ก็ไม่มีใครไปยับยั้งไม่ให้ธาตุชนิดนี้เกิด

ตามความเป็นจริง คือ สิ่งที่มี เกิดขึ้น ต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ สภาพอย่างหนึ่ง ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย กับ สภาพที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นแล้ว ต้องรู้ ต่างกันแล้ว ใช่ไหม? อย่างหนึ่ง เกิดขึ้นรู้ อีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นไม่รู้ ทั้งสองอย่าง บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อมีปัจจัย ก็เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น "แข็ง" เกิดขึ้น เหมือน "หนึ่ง" ใช่ไหม? แต่ความจริง "แข็ง" จะเกิดขึ้น โดยไม่อาศัยสภาพธรรมะ ที่เกิดรวมกัน อาศัยกันและกัน "ไม่ได้" เราเรียก "แข็ง" นี้ว่า "ปฐวีธาตุ" หรือ ภาษาไทย เราก็เรียกว่า "ธาตุดิน" ขณะนั้น ต้องมี ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อยู่ด้วย เพราะเหตุว่า แม้ความเย็น ความร้อน ซึ่งเป็น อุตุ หรือว่า ธาตุที่เป็นธาตุไฟ ไฟเย็น หรือ ไฟร้อน ก็ต้องมี "ที่ตั้ง" คือ ธาตุดินถูกต้องไหม? จะมีเปล่าๆ ไม่ได้ ขณะนั้น ต้องมี "ที่อาศัย" ของธาตุไฟ ด้วย และในขณะที่มีธาตุดิน ในลักษณะนั้น ก็จะต้องมีลักษณะที่เย็น หรือ ร้อน รวมอยู่ด้วยและเกินกว่านั้น ก็คือว่า มีธาตุลม ไหวหรือตึง มิฉะนั้น อะไรๆ ก็ต้องอยู่กับที่ไหวไม่ได้เลย เคลื่อนไหวไม่ได้เลย แต่ว่า เพราะมีธาตุนั้นอยู่ด้วย

และยังมีอีกธาตุหนึ่ง เมื่อกี้นี้ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม "ธาตุน้ำ" ไม่ใช่น้ำที่เราดื่มหรือ รับประทาน แต่เป็นธาตุ ที่เกาะกุม ซึมซาบ ธาตุทั้ง ๓ แยกกันไม่ได้เลย ให้รวมกันอยู่ เพราะฉะนั้น ธาตุทั้ง ๓ นี้ ก็ต้องอาศัยธาตุน้ำ เกาะกุมไว้ รวมเป็น ๔ ธาตุ แยกกันไม่ได้ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ว่า "ปรากฏ ทีละอย่าง" ขณะใดที่ปรากฏลักษณะที่ "เย็น" ธาตุอ่อน-แข็ง ไม่ปรากฏ ขณะใดที่ลักษณะปรากฏอ่อน หรือแข็ง ธาตุเย็นหรือร้อน ก็ไม่ปรากฏ ทั้งๆ ที่ รวมกันอยู่ที่นี่ ฉันใด

ที่ใด ที่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ต้องมีสิ่งที่กระทบตาได้ ภาษาบาลี จะใช้คำว่า วรรณะ หรือ นิภา ก็ได้ แต่ภาษาไทย จะพูดว่า "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" ยาว... บางคนก็เลยเรียกว่า "สี" สีสันต่างๆ อยู่ที่ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถูกต้องไหม?

ถ้าไม่มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม จะไม่มีสีสันวรรณะ กระทบตา ให้ปรากฏ เพราะฉะนั้น เวลาที่มีสีสันวรรณะปรากฏ เราจะรู้ได้ว่า ธาตุลม มีมากน้อยแค่ไหน? หรือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ยาว-สั้น แค่ไหน? กลม หรือว่า เหลี่ยม สัณฐานต่างๆ เพราะอาศัยสิ่งที่มี ที่ธาตุนั้นแหละ กระทบตา ปรากฏเป็นสีสัน ให้รู้ขอบเขตว่า ลักษณะนั้น เป็นอย่างไร?

เพราะฉะนั้น ถ้ามีแต่เพียงโลก ซึ่งเป็นรูปธรรม ไม่มีนามธรรมเลย ไม่ต้องเรียกว่า นรก หรือ สวรรค์ ถูกต้องไหม? ไม่มีใครไปรู้ไปเห็นเลย แต่ที่กล่าวว่า นรก หรือสวรรค์ ก็อาศัยว่า ที่นั้น มากไปด้วยอะไร? อย่าง สวรรค์ ต่างกับมนุษย์ เพราะเหตุว่า มากไปด้วย สิ่งที่น่ารื่นรมย์ ทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ไม่ต้องอาศัยสถาปนิกไปเขียนแบบอะไรเลย วิมานต่างๆ ก็ต่างกันไป เพราะเป็นรูป ที่เกิดจากอุตุ ซึ่งเกิดจากกรรม อุตุ คือ ความเย็น ความร้อน สามารถที่จะทำให้เกิดพืชพรรณต่างๆ กันได้ ใช่ไหม?

ดิน น้ำ ไฟ ลม เดี๋ยวก็ทำให้เกิดพืชพรรณที่เป็นกล้วยไม้ เป็นดอกกุหลาบ เป็นอะไรหลากหลายกันมาก เพราะฉะนั้น ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งทำให้เกิดความหลากหลาย ฉันใด ธาตุรู้ ก็หลากหลาย ฉันนั้น ไม่ใช่มีแต่เฉพาะ "เห็น" มี "ได้ยิน" เวลาที่มี "เสียง" กระทบกับปสาท ซึ่งสามารถกระทบกันได้ "ธาตุรู้" ก็เกิดขึ้น "ได้ยิน"เพราะฉะนั้น ที่ใดที่ "จิต" (เราใช้คำว่า "จิต" สำหรับธาตุก็ได้ ง่ายๆ ) รู้สิ่งที่น่ารื่นรมย์ น่าพอใจไม่ว่าจะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ "ใจ" ก็เป็นสิ่งที่คิดถึง ในสิ่งที่ ไม่น่าเกลียด ไม่น่าพอใจเลย รื่นรมย์ไปหมด เราก็เรียกว่า "สวรรค์"

แล้วถ้าที่ใด เต็มไปด้วย "ธาตุรู้" ซึ่งต้องรู้ สิ่งซึ่ง กลิ่นไม่ดี รสไม่ดี เสียงก็ไม่ดี สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็น่าเกลียด เราก็เรียกสิ่งนั้นว่า "นรก" เพราะฉะนั้น สำหรับมนุษย์ เป็นสุคติภูมิ ไม่ใช่นรก ไม่ใช่สวรรค์ แต่ว่า บางกาละ ก็สุข บางกาละ ก็ทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้

เพราะเหตุว่า ก็สืบสาวต่อไปอีก ว่าธาตุที่เป็นกรรม เจตนาเกิดขึ้นเป็นไป เป็นเจตนาที่ประกอบไปด้วย ธรรมฝ่ายดี ก็เจตนาไปในทางที่ดี เจตนาที่ประกอบด้วยธรรมะฝ่ายไม่ดี เจตนาก็ประทุษร้าย เบียดเบียนต่างๆ ผล ก็คือว่า ขณะแรกของชาติหนึ่ง ชาติใด ที่เกิด เราไม่รู้เลยว่า เราเกิดที่ไหน? และ จะเกิดที่ไหน? แต่ กรรมที่ได้กระทำแล้ว

"แรงกรรม" เกิดได้ จากมนุษย์ ไปสู่ อเวจี อย่างท่านพระเทวทัต หรือว่า จากมนุษย์ ก็ไปสู่สวรรค์ อย่างที่ในพระไตรปิฎก ก็มีข้อความที่กล่าวถึง เถระ เถรีคาถาต่างๆ หรือว่า ภพภูมิต่างๆ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านไม่ต้องอาศัยเครื่องบินเลย และ เครื่องบิน ก็ไปไม่ไกลเท่าที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ไปถึง คือ สวรรค์ชั้นต่างๆ พรหมโลกก็ไปได้ เพียงลัดนิ้วมือเดียว เพราะอะไร? เพราะจิต เกิดดับเร็ว สุดที่จะประมาณได้ ถึงแล้ว ที่นั่น

เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่ง เราอยู่ในโลกนี้ ซึ่งก่อนโลกนี้ ไม่มีความรู้เลย ชาติก่อน อยู่ที่ไหน? จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะแรกของชาติต่อไป คือ ชาตินี้ เกิดขึ้น โดยที่ว่า จากโลกก่อน ชาติก่อนมา เหมือนประตู ที่ปิดสนิท ไม่รู้เลยว่า ข้างในนั้น มีอะไรบ้าง? ผ่านมาแล้วก็ปิด

แต่ว่า เดี๋ยวนี้ พอเกิดมาในโลกนี้ เราก็เห็นสิ่งที่มีในโลกนี้ แต่จากโลกนี้ไปแล้ว "แรงกรรม" ก็ไม่รู้ว่า จะเป็นอย่างท่านพระเทวทัต หรือว่า จะเป็นอย่าง ผู้ที่ได้ทำคุณงามความดี และกรรมดี ก็ทำให้ สู่ความเป็นมนุษย์อีก ก็เป็นได้ หรือว่า สู่สวรรค์ ชั้นต่างๆ ก็ได้

พลเรือเอกประเสริฐ บุญทรง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ที่สงสัยประเด็นสำคัญ คือ พระสงฆ์ตอนนี้ มี ๒ ส่วน ส่วนหนึ่ง เป็นนักศึกษาธรรมะ แต่อีกส่วนหนึ่ง ท่านเป็นพระปฏิบัติ ท่านไปอยู่ในป่า เป็นพระป่า ซึ่งท่านอาจจะไปนั่ง วิปัสสนา แล้วก็มีหลายคน บอกว่า ท่านบรรลุอรหันต์ โดยวิธี นั่งวิปัสสนา ในกรณีนี้ ในเมื่อท่านไม่ได้ศึกษา ท่านก็ ในลักษณะตรัสรู้ หมายความว่า ตรัสรู้เอง ว่าท่านมองเห็นธรรม จนบรรลุโสดาบัน หรือว่าเป็นพระอรหันต์ได้

ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ไหม? เป็นใคร? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เป็นพระอรหันต์ ขั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ที่เป็นสาวก มีมาก ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมีเพียง "หนึ่ง" ในสากลจักรวาล และ จะมี ๒ พระองค์พร้อมกันไม่ได้ด้วย เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่เลิศทุกประการ ไม่ว่าจะในเรื่องของ อภินิหาร ฌาน สมาบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เลิศ ไม่มีบุคคลใดเปรียบได้เลย คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น เราได้ยินคำว่า "ธรรมะ" จากใคร? ต้องรู้เลย จากใคร? คำว่า "ธรรมะ" โดยเฉพาะ "ทุกคำ" ทำให้มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ใน "คำนั้นๆ " ด้วยเพราะเหตุว่า ใครก็ได้ยินคำว่า "ธรรมะ" แล้ว "ธรรมะ" คือ อะไร? คนโน้น ก็เข้าใจว่าธรรมะ คือ สิ่งนี้ คนนี้ ก็เข้าใจว่า ธรรมะ คือ สิ่งนั้น

แต่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงๆ ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริง ใครก็จะไปรู้ไม่ได้ และ สิ่งที่มีจริงขณะนี้ ใครรู้? เราไม่สามารถที่จะรู้เองได้เลยว่าความจริงของสิ่งที่มีจริงขณะนี้ ลึกซึ้งอย่างไร? แต่ว่า มีโอกาส ที่จะได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ทั้งหมด โดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิง โดยละเอียด ลึกซึ้งยิ่ง เพราะฉะนั้น เราก็เริ่มที่จะเป็นผู้ที่รู้ว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงพระธรรม ใช้คำว่า "พระ" "พระ" มาจากคำภาษาบาลีว่า "วร" หมายความถึง "ประเสริฐ" เพราะฉะนั้น พระธรรม ต้องเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ประเสริฐ

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงมีพระธรรม คือ คำสอนที่ประเสริฐยิ่ง มาจากผู้ที่ตรัสรู้ความจริง ประเสริฐ เพราะเหตุว่า สามารถที่จะทำให้ คนที่ได้ยิน ได้ฟัง มีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่ได้ฟัง เราได้ฟังเยอะแยะหมดเลย ตั้งแต่เกิดมา คำโน้น คำนี้ จากคนโน้น คนนี้ จากโรงเรียน จากเพื่อฝูง จากครูบาอาจารย์ แต่ ไม่ได้เข้าใจความจริง ของคำนั้นๆ เลย

จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม จากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงเมื่อพระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงความจริงของธรรมะ ที่ทำให้เราเกิดความเห็นถูกคำที่ได้ยิน ได้ฟัง เป็นคำที่ประเสริฐ เพราะว่า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถที่จะฟัง เข้าใจขึ้น หรือว่า มีศรัทธา ที่จะรู้ว่า สิ่งที่ได้ฟังแต่ละคำ มีค่า จากการที่ไม่เคยเข้าใจ เป็น "ความเข้าใจ" ในที่สุด ก็สามารถที่จะรู้ความจริง อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ ด้วยพระองค์เอง และ ทรงแสดงความจริงนั้น ให้คนอื่นรู้ด้วย จนกระทั่งบุคคลนั้น รู้จริงๆ เป็น "สาวก" เป็น "พระสังฆรัตนะ" รัตนะ มี ๓ พระพุทธรัตนะ ๑ พระธรรมรัตนะ ๑ พระสังฆรัตนะ ๑
ซึ่งมาจากการตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (จะ) ไม่มีพระธรรม ไม่มีพระสงฆ์

เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ โดยการ "ฟัง" และ "เข้าใจ" "คำ" ที่พระองค์ ทรงแสดง จนกระทั่ง สามารถที่จะถึง ความเป็นพระอริยสงฆ์ได้ เพราะฉะนั้น ที่จะเข้าใจว่า ใครก็ตาม ไม่ฟังธรรมะเลย แล้วจะเป็นพระอริยสงฆ์ ได้ไหม? ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

เพราะฉะนั้น จากการได้ยิน ได้ฟัง ก็ทำให้เรา "เริ่มรู้ความจริง" ว่า จริงๆ แล้ว เราเป็นใคร? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นใคร? ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ใครสามารถที่จะเป็นถึง พระสาวก หรือ พระอริยสาวก ได้? เป็นไปไม่ได้เลย ก็ทำให้เรา ได้รู้ความจริงว่า เป็นไปไม่ได้ ใครจะบอกกล่าวว่าอย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้ จนกว่าจะเข้าใจ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็น "ธรรมะ"

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ รู้จักธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้!!! แต่ยังไม่รู้ว่า เป็นธรรมะ จริงอย่างไร? จนกว่า จะได้ฟัง ว่าสิ่งนี้ จริง เมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด แล้วจะรู้ได้อย่างไร? ว่ามีจริงๆ กำลังเห็นจริงๆ และ ยิ่งกว่านั้นก็คือว่า "เห็น" จะเกิดขึ้นเอง ไม่ได้เลย ไม่มีอะไรที่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาลอยๆ เอง ปัญญา เกิดขึ้นมาลอยๆ เป็นไปไม่ได้

สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ทั้งหมด ที่เกิดขึ้น ต้องมี สิ่งที่อาศัย เกื้อกูล อุปการะ สนับสนุน ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น พร้อมกันอาศัย กันและกันด้วย ด้วยเหตุนี้ สิ่งนี้ ที่เกิดขึ้นแล้ว เรายังไม่เคยรู้เลย ว่า "เห็น" คือ อะไรแน่? และ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? เพราะอะไร? และ เห็นอะไร ก็ไม่รู้? แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และเราเกิดมานี้ "เห็น" เรื่อยเลย ทั้งวัน เมื่อวานก็ "เห็น" ต่อไปก็ "เห็น" แต่ "ไม่รู้ความจริง"

นอกจาก "เห็น" ก็ยังมี "ได้ยิน" มีการ "ได้กลิ่น" มีการ "ลิ้มรส" มีการ "รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส" แล้วก็มีการ "คิดนึก" ล้วนแล้วแต่เรื่อง ที่เราเคยเห็น เคยได้ยิน ทั้งนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมด ไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และ คิดนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นด้วย

ด้วยเหตุนี้ เราอยู่ในโลก ด้วยความไม่รู้ มาโดยตลอด ตามความเป็นจริงจนกว่า จะมีผู้ที่ทรงตรัสรู้ว่า ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ มีจริง เกิดเพราะเหตุปัจจัย และ สิ่งที่ไม่รู้มาก่อนแน่นอน ก็คือว่า ไม่รู้ว่า เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย นี่เริ่มรู้ว่า "ความต่างกัน" ของผู้ที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟังธรรมะเลย กับผู้ที่ได้ "เริ่มฟัง" ได้ "รู้ความจริง" แม้ว่า ยังไม่ได้เห็นการเกิดดับ แต่ก็ "เริ่มรู้" ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า "ทรงแสดงความจริง"

ซึ่งถ้าฟังต่อไป ความเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็สามารถประจักษ์ความจริง คือ การเกิดดับแล้วก็รู้ว่า ธรรมะ เป็น ธรรมะ จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้เลย เพราะว่า ธรรมะ หลากหลาย ละเอียดยิบเป็นเพียงแต่ละหนึ่ง เช่น
เสียง เป็น เสียง กลิ่น เป็น กลิ่น เห็น เป็น เห็น คิด เป็น คิด
ทั้งหมด เป็นแต่ละ "หนึ่ง" กำลังมี ในขณะนี้!!! เพราะ เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป โดยไม่รู้จนกว่าจะฟังธรรมะ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

...ณ กาลครั้งหนึ่ง...
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของ คุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร

เพราะไม่รู้ จึงอยู่มา ในหล้าโลก เพราะไม่รู้ จึงเศร้าโศก ในสงสาร
เพราะไม่รู้ จึงเป็นเรา เขลามานาน เพราะไม่รู้ จึงคบพาล เผาผลาญตน

เพราะรู้คุณ ของพระธรรม จึงร่ำเรียน เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียร เพิ่มกุศล เพราะรู้ชัด จึงไม่ใช่ สัตว์ บุคคล เพราะรู้ละ ตัวตน จึงพ้นภัย
(ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ ผู้ประพันธ์)

"...เพราะรู้คุณ ของพระธรรม จึงร่ำเรียน เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียร เพิ่มกุศล เพราะรู้ชัด จึงไม่ใช่ สัตว์ บุคคล เพราะรู้ละ ตัวตน จึงพ้นภัย..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทักษพล คุณจริยา และ คุณศิริพล เจียมวิจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

ภาพ แสง สี สวยสดงดงามมากๆ ครับ พร้อมคำบรรยายธรรม ที่ไพเราะ จับใจ ถ่าย ทอดออกมาเหมือนได้ไปสนทนาที่สถานที่นั้น ขออนุโมทนาพี่วันชัย ภู่งาม ในกุศลวิริยะที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดียิ่ง ครับ กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตรขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ladawal
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Parinya
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาด้วยครับ

ปริญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
napachant
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปวีร์
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สิริพรรณ
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ ที่เคารพยิ่งกราบอนุโมทนากุศลจิตคุณพี่ต๋อย และคุณพี่ทักษพลที่มีอัธยาศัยงดงาม อบพระคุณและอนุโมทนากุศลวิริยะ อ.คำปั่น และคุณวันชัย อนุโมทนาผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่านค่ะ เพราะเรียนรู้คุณของพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเมตตาถ่ายทอดโดยท่านอ.สุจินต์ชีวิตที่เหลืออยู่จึงรู้ว่าเพื่อทำความดี และศึกษาพระธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Boonyavee
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pulit
วันที่ 27 ธ.ค. 2557

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
papon
วันที่ 27 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
j.jim
วันที่ 27 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
raynu.p
วันที่ 29 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
raynu.p
วันที่ 29 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ch.
วันที่ 29 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
tanrat
วันที่ 30 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
yupares
วันที่ 30 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
orawan.c
วันที่ 30 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
peem
วันที่ 30 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
rrebs10576
วันที่ 2 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
wannee.s
วันที่ 4 ม.ค. 2558

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ