สนทนาธรรมข้ามปีที่ไซ่ง่อน 1 เตรียมตัวไปเวียดนาม
เตรียมตัวไปเวียดนาม
จะติดตามท่านอาจารย์ไปเผยแพร่พระธรรมที่เวียดนามในวันที่ 29 ธ.ค. 57 – 8 ม.ค. 58 (ทำ หน้าที่ติดต่อประสานและรายงานข่าว) เหลือเวลาอีก 2 วันจะเดินทางแล้ว จึงตระเตรียมหลาย อย่าง ทั้งย้อมผม ตัดผม ตัดเล็บ ทำความสะอาดบ้านและสิ่งของต่างๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่า ก็ไปแค่นี้เอง ทำไมจึงต้องทำความสะอาดมากมายผิดปกติอย่าง นี้ ตอนอยู่บ้านก็น่าจะทำให้สะอาดมากกว่าตอนไม่อยู่ คนอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่คิดว่า เวลากลับมาบ้านจะได้ยังสะอาดอยู่ ไม่ต้องมาเสียเวลาทำให้เหนื่อยอีก ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ไปตั้ง 10 กว่าวัน กลับมาก็ต้องมีฝุ่นละอองให้ทำความสะอาดอีกครั้งอยู่ดี แล้ว ยังเตรียมยาสำหรับโรคประจำตัว ยาสำหรับโรคที่อาจจะเกิดขึ้น ยาสามัญประจำบ้านที่อาจ จำเป็น อาหารที่มีรสถูกปาก ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นหลายอย่าง นึกไปนึกมาก็โชคดีนะ ที่ ไม่รู้แน่นอนว่า จะจากโลกนี้ไปวันไหน ถ้ารู้ล่วงหน้าคงต้องเตรียมตัวมากกว่านี้หลายเท่า เหมือนอย่างในสมัยโบราณที่ทำมัมมี่ (รักตัวมากจนอยากกลับมาเป็นคนเก่าอีก) และสร้างที่ฝัง ศพพร้อมสมบัติมีค่าต่างๆ บางท่านก็ทำหุ่นทหาร ข้าทาสบริวารเพื่อรับใช้ในภพหน้า เวลาผ่าน ไปเป็นพันๆ ปี คนรุ่นหลังก็ทราบว่า มัมมี่และสิ่งที่ฝังไว้นั้นไม่ได้นำมาใช้อย่างที่หลงเข้าใจผิด เลย พวกเราโชคดีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระธรรม เข้าใจว่า เมื่อตายไปแล้ว ร่างกายและทรัพย์สมบัติที่เคยหวงแหนก็ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ ไม่สามารถนำไปได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ทิ้งไปทุกขณะ เพราะทั้งนามและรูปก็เกิดดับทุกขณะ มีแต่บุญและบาปเท่านั้นที่จะติดตามไป ให้ผลในชาติต่อๆ ไป แม้อย่างนั้นก็ยังไม่อยากเตรียมตัวไปภพหน้าด้วยการทำกุศล เพราะคิด ว่ายังอีกนานกว่าจะจากความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้
ผู้ใหญ่ที่รู้จักบางท่านป่วยหนัก อาการใกล้ตาย แต่ยังมีสติ ชวนให้ทำกุศลด้วยการบริจาค ก็ยัง ผลัดว่า รอไว้ก่อน ยังไม่ทำ จนถึงวันสิ้นลมนอนน้ำตาไหล คงนึกเสียดายว่า ทำไมไม่ทำกุศล เสียก่อนหน้านี้ บางท่านเป็นโรคร้าย หมอบอกว่า จะอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 เดือน ก็คิดวางแผนใช้ เวลาและทรัพย์สมบัติที่เหลือให้คุ้มค่า ด้วยการไปเที่ยวดูสถานที่อยากดูอยากเห็นเสียก่อน หรือได้รับประทานอาหารที่อยากทาน ได้ซื้อของที่อยากได้มานาน ก่อนหน้านี้ไม่ทำ เพราะ กลัวเงินหมดไม่พอใช้จนถึงวันตาย แต่พอรู้ว่าจะตายแน่ๆ ก็จะใช้เงินให้หมด คือ ทำในสิ่งที่ อยากทำมานาน อย่างคำพูดของนักเขียนดังที่ว่า See Ankor and Die คือ ได้เห็นนครวัดของ ประเทศกัมพูชาเสียก่อนจึงค่อยตาย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความไม่รู้ คือ ไม่รู้ว่า การเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสนั้น เป็นวิบากจิตที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เลือกไม่ได้ เกิดขึ้นเพียง 1 ขณะแล้วก็ดับไป หลังจากนั้นก็ เกิดความติดข้องถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ เกิดความขุ่นเคืองถ้าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ การเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดีหรือไม่ดีเป็นผลของกรรมที่ทำไว้แล้ว ไม่ใช่เป็นเหตุที่จะ ให้ผลที่สามารถติดตามไปข้างหน้าได้
เมื่อศึกษาเข้าใจแล้วว่า จิตใดเป็นเหตุ จิตใดเป็นผล ก็จะไม่สับสน เอาผลมาเป็นเหตุ คิดว่า ถ้า ได้เห็น ได้ยินสิ่งที่ดีๆ แล้วจะมีความสุข และความสุขนั้นจะติดตามไปให้ผลเป็นสุขในภพหน้า อีก เพราะที่จริงแล้วจะสะสมความติดข้องไว้ในจิตขณะต่อไปเพิ่มขึ้น
แม้ความคิดนี้ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่งที่เกิดเพราะได้เคยฟัง เคยพิจารณามาก่อน ก่อนนี้ไม่เคย คิดอย่างนี้เลย เกิดคิดแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ความคิดของใคร เพราะจะหาความเป็นใคร ของใคร จากสิ่งที่เกิดแล้วดับทันทีได้จากไหน ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาพร่ำสอน ธรรมะอย่างละเอียด บ่อยๆ เนืองๆ ที่ทำให้คิดอย่างนี้ได้ และท่านกำลังจะไปเผยแพร่ความ เข้าใจธรรมะของท่านแก่สหายธรรมเวียดนามอีก 10 กว่าวัน
ขอกราบอนุโมทนาค่ะ
... อ่านตอนต่อไป ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับพี่แดงครับ
จะรอติดตามเรื่องเล่าจากไซ่ง่อน ด้วยความง่อนแง่น ในทุกๆ ขณะของชีวิต ที่ไม่ทราบว่าจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติไปในขณะไหนนะครับ แต่อาจหาญ ร่าเริง (ตามกำลัง) เพราะชาตินี้ไม่เสียเปล่าแล้ว ที่เกิดมาและได้พบพระธรรม ขอยกบทประพันธ์อันงดงาม ไพเราะ ของ ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ ที่ประพันธ์ไว้ เมื่อครั้งเยือนอินเดียที่ผ่านมา ดังนี้