ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๘
~ ทุกท่านที่สนใจในธรรม ถ้าไม่เคยสะสมการศึกษา การฟัง ศรัทธาและกุศลอื่นในอดีตอนันตชาติมา ย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง หรือว่าเมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่สนใจ นี่เป็นสิ่งซึ่งในอดีตชาติของแต่ละท่าน ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยว่า ได้เคยกระทำกรรมอย่างไรแล้ว แต่ชาติในปัจจุบันนี้เองจะส่องไปถึงอดีตชาติ แม้ว่าไม่เคยทราบในชาตินี้ว่าก่อนนั้นเป็นใคร เคยฟังพระธรรมที่ไหน เคยสนใจมากน้อยอย่างไร แต่ว่าในเมื่อปัจจุบันชาตินี้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ก็แสดงว่าได้สะสมมาแล้วในอดีต
~ การเจริญกุศลทุกประการเป็นสิ่งที่ควรจะต้องกระทำ เว้นไม่ได้เลย สิ่งใดก็ตามที่เป็นกุศล แล้วยังไม่ได้กระทำ ขอให้พิจารณาว่า ชาตินี้จะกระทำได้ไหม กุศลอย่างนั้นๆ ที่ยังไม่ได้กระทำ แต่ว่าต้องเห็นคุณประโยชน์ของกุศลทุกประการด้วย เช่น
อาชวะ (ความเป็นผู้ตรง) ต้องพิจารณาตนเองว่าตรงเมื่อไร ตลอดเป็นปกติหรือเปล่า
มัทวะ (ความเป็นผู้อ่อนน้อม) มีประโยชน์ไหม สามารถที่จะทำให้คลายความสำคัญตนลง
~ กุศลธรรม มีประโยชน์ ถ้าไม่มีประโยชน์ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงยกขึ้นแสดงว่าเป็นสิ่งที่ควรจะต้องอบรม
~ อกุศลสำคัญที่เป็นมูลเหตุเป็นสมุทัยของทุกข์และสังสารวัฏฏ์ฎ์ คือ โลภะ ซึ่งก็เกิดบ่อยเป็นประจำทุกภพชาติ ไม่จบสิ้น ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพียงทางตาอย่างเดียว มีวัตถุซึ่งเป็นที่พอใจของโลภะมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเสื้อผ้า เครื่องใช้ อาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ไม่ว่าจะเห็นอะไรทั้งหมด ดอกไม้ทุกอย่าง อาหารทุกชนิด เครื่องใช้ทุกชนิด ในรูปลักษณะต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่โลภะมีความพอใจ มีความติด โดยที่ว่าไม่จบสิ้น ไม่ว่าตั้งแต่ในอดีตอนันตชาติ จนกระทั่งถึงปัจจุบันชาติ และที่จะเกิดต่อไปอีก
~ ในอกุศลจิตทั้งหลายนั่นเอง ย่อมไม่มีธรรมที่เป็นโสภณ หมายความว่า ในอกุศลจิตจะไม่มีสติเจตสิก เป็นต้น ซึ่งเป็นโสภณธรรมเกิดร่วมด้วยเลย
~ ใครที่จะมีมายาหรือว่ามีมายาอยู่ หรือว่าเป็นผู้ที่ไม่ตรง ในขณะนั้นให้ทราบว่าเป็นเพราะโลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) ในขณะนั้น
~ คนที่กุศลจิตเกิดบ่อยๆ คงจะสังเกตความคล่อง ความไวของกุศล คือ ไม่รีรอ ไม่รู้สึกลำบากในการที่จะทำกุศล แต่คนที่ไม่คล่อง เพราะว่ามีอกุศลจิตเกิดมาก และกุศลจิตเกิดน้อย เวลาที่กุศลจิตจะเกิด รู้สึกว่าหนักๆ ยาก ถ่วงๆ ไม่ค่อยเกิด ไม่ค่อยจะเป็นไปโดยรวดเร็วหรือว่าโดยสะดวก
~ วันหนึ่งๆ อกุศลมากสักแค่ไหน ลองคิดดู ถ้าไม่สังเกต ความผูกพัน ความสัมพันธ์ ด้วยอกุศลจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นไปด้วยเมตตา หวังดี เกื้อกูล ในขณะนั้นก็เป็นกุศล
~ บางท่านเพียรมากที่จะปฏิบัติธรรม แต่ว่าไม่ได้พิจารณาข้อปฏิบัตินั้นว่า สมควรแก่การที่จะเพียรหรือเปล่า เพราะเหตุว่าถ้าเป็นความเห็นผิด เมื่อเพียรไป ผลที่ได้ก็คือความเห็นผิด ไม่ใช่ความเห็นถูก
~ สภาพธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่บัญญัติ คือไม่ทรงแสดง ย่อมไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้ ทุกคนมีจิต มีเจตสิก แต่ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงบัญญัติสภาพธรรมทั้งหลายด้วยพระสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นบัญญัติที่ถูกต้องตรงกับลักษณะของสภาพธรรมนั้น ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่มีอยู่ได้
~ สภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับอวิชชา มีอย่างเดียวเท่านั้น คือ วิชชา ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญา ก็ไม่มีทางที่จะละอวิชชาได้
~ จิตจะไม่สะอาดในขณะที่โมหะเกิด เพราะเหตุว่าโมหะเกิดกับอกุศลจิตทุกดวง ทุกประเภท เวลาโลภะเกิด ไม่เคยรู้สึกเลยว่า จิตไม่สะอาด เวลาโทสะเกิด ก็ไม่รู้ว่าจิตไม่สะอาด แต่ไม่ชอบโทสะ แต่ไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่สะอาดเสียแล้วด้วยโมหะและโทสะ และอกุศลธรรมอื่นๆ ก็ต้องเกิดกับโมหะทั้งสิ้น
~ การศึกษาธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จะเป็นทางที่จะทำให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าใจธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่เข้าใจผิดในเรื่องของการปฏิบัติด้วย
~ เวลาโลภะเกิด ไม่เคยละอายเลยที่จะมีโลภะ แม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงว่า เป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมที่ไม่สะอาด แต่ทุกคนก็พอใจที่จะมีโลภะต่อไป เพราะไม่ละอาย หรือไม่เกลียดอกุศลธรรม
~ เพราะรูปมีจริง ถ้าไม่กล่าวเรื่องรูปแล้วจะกล่าวเรื่องอะไร
~ ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจว่า สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็คือ ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
~ ธรรมตา คือ ความเป็นไปของธรรม
~ ทุกอย่างที่เกิด ไม่ได้เกิดตามใจชอบ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
~ พื้นฐานของปัญญา คือ ฟังพระธรรมซึ่งเป็นวาจาสัจจะในแต่ละคำให้มีความเข้าใจอย่างมั่นคง
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๗
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
- ฟังพระธรรม ไม่ควรท้อถอย ย่อมเบิกบานที่ได้เข้าใจเพิ่มขึ้น จากการฟังพระธรรมไปทีละเล็กทีละน้อย อย่างนี้ก็จะไม่เป็นทาสของโลภะ ซึ่งต่างจาก "เมื่อไหร่เราจะรู้สักที" อย่างนี้ก็ถูกโลภะครอบงำแล้ว เป็นทาสของโลภะ
- เป็นผู้มีปกติ ถ้าจะทำให้ผิดไปจากนี้ ก็ผิดปกติ ก็เดินหนทางที่ผิด
- ปกติ ก็คือ เดี๋ยวนี้ เป็นชีวิตประจำวัน สภาพธรรมเกิดขณะใด ไม่ว่า อกุศล เป็นกุศล ก็ชื่อเป็นปกติ ควรเข้าใจความเป็นปกติว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา
- จะทำให้ปกติ ทั้งๆ ที่ขณะนี้ก็ปกติแล้ว ก็ผิดปกติ เพราะ จะทำ
- พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงแสดงสิ่งที่มีจริง เหมือนๆ กัน ไม่ต่างกัน คำจริง เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม
- พระธรรมไพเราะ เพราะเป็นสัจจะความจริง และที่สำคัญที่สุด คือ ผู้ฟังจะต้องเข้าใจด้วย จึงจะกล่าวได้ว่า ไพเราะ ดังนั้นจึงไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ตามความเข้าใจหรือระดับปัญญาของผู้ฟังนั่นเอง คือ เข้าใจขั้นเริ่มต้นและค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเข้าใจถึงที่สุด คือ แทงตลอดในสภาพธรรมจนบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ และถ้าไม่มีผู้เข้าใจพระธรรม ก็แสดงว่าการตรัสรู้ที่ได้มาอย่างยากยิ่งของพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นโมฆะ
- การอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นการที่ปัญญา เรี่มเข้าใจความต่างกันของทางตากับทางใจ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าทางตาจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากเป็นเพียงสี่งที่ปรากฏให้เราคิดนึก
- เพราะสะสมความไม่รู้มามาก จึงเข้าใจยาก อีกทั้งพระธรรมนั้นละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องอดทน เพียรที่จะศึกษา ฟังด้วยความเคารพ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ความเข้าใจธรรมก็คือเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ น้อมไป ค่อยๆ นำไปสู่ความเข้าใจยิ่งๆ ขึ้น สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน และ คิดนึก ทุกขณะที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับให้เห็นเกิดขึ้นได้ เห็นเกิดขึ้นเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นไม่ใช่เรา สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น ไม่มีเราสักขณะเดียว เมื่อมีความเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ ปัญหาต่างๆ จะมีได้อย่างไร
- ประโยชน์แท้จริงของการศึกษาพระธรรม ทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถา คืออะไร เราจะมานั่งค้นคว้าเรื่องตทาลัมพนะ เรื่องชวนะ หรือว่าประโยชน์จริงๆ คืออะไร เพราะว่า พระสาวกทั้งหลายท่านเคยมาก่อนเรา และอย่างมากด้วย แต่เวลาที่ท่านเกิดอีก ก็ลืมหมด เพราะฉะนั้นประโยชน์ คือ ให้เข้าใจพระธรรมทันทีที่ได้ฟังว่าหมายความถึง สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และก็เมื่อเข้าใจว่า เป็นธรรม หมายความว่า ไม่สงสัยในลักษณะของธรรม เพราะรู้ว่า เป็นสภาพที่มีจริงๆ เมื่อทรงแสดงเรื่องทางตาที่กำลังเห็น บุคคลนั้นสามารถที่จะเข้าใจได้ ในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งเป็นนามธรรมบ้าง เป็นรูปธรรมบ้าง ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จนดับกิเลสเป็นสมุจเฉท นั่นคือประโยชน์
ขออนุโมทนา