ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๙

 
khampan.a
วันที่  25 ม.ค. 2558
หมายเลข  26089
อ่าน  1,781

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๙

# ในขณะใดที่มีความเห็นผิด หมายความว่าขณะนั้นมีความพอใจ มีความติดมีการยึดถือในความเห็นนั้น เพราะฉะนั้น ทิฏฐิเจตสิกไม่สามารถจะเกิดได้โดยปราศจากโลภเจตสิก แต่ว่าโลภเจตสิกนั้นสามารถที่จะเกิดได้ โดยปราศจากทิฏฐิเจตสิก

# ในวันหนึ่งๆ ก็มีโลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) เกิดบ่อยๆ เป็นไปทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง แต่เมื่อใดในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นโลภมูลจิต ทิฏฐิคตสัมปยุตต์ (ประกอบพร้อมด้วยความเห็นผิด) ขณะนั้นก็ต้องเป็นในขณะที่มีความยึดมั่นในความเห็นผิด ซึ่งไม่ตรงกับสภาพธรรมตามความเป็นจริง

# ทุกคนหวั่นไหวไปตามกิเลส แล้วแต่ว่าจะเป็นกิเลสประเภทใด มากบ้าง น้อยบ้าง

# น่าที่จะพิจารณาชีวิตของแต่ละท่านจริงๆ ให้เป็นผู้ที่สะอาด ให้เป็นผู้ที่มีกายสุจริต พร้อมกันนั้นก็เป็นผู้ที่ตรง ที่จะรู้สภาพธรรมที่สะสมมาในสังสารวัฏฏ์ฎ์ที่ทำให้เป็นบุคคลต่างๆ กัน นอกจากจะเห็นว่าเป็นโทษ เห็นว่าเป็นภัยแล้ว ก็ควรที่จะมีความประสงค์ มีหิริ มีความละอายเกิดขึ้น ที่จะขัดเกลาละคลายอกุศลแต่ละอย่างนั้นให้เบาบาง อย่าเห็นว่าไม่เป็นโทษไม่เป็นภัย เพราะเหตุว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีวันที่จะตั้งต้นที่จะคลายอกุศลทั้งหลายได้

# ความเห็นผิดที่เป็นอุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) ถือว่า ตายแล้วสูญ เพราะฉะนั้น คนที่มีความเห็นอย่างนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำบุญกุศลใดๆ หรือว่าไม่เกรงกลัวที่จะทำอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าตายแล้วก็สูญ ไม่มีวิบาก คือ การได้รับผลของกรรม

# เรื่องของการเป็นผิด หรือว่าการประพฤติปฏิบัติผิด เป็นสิ่งที่มีโทษ

# สำหรับอกุศลที่สะสมไว้มาก โลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) ความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในลาภ ในยศ ในสักการะ ในสรรเสริญ ในสุข เป็นเหตุที่จะให้เกิดความอาฆาตพยาบาทได้ แต่ให้เห็นกำลังของความปรารถนาว่าเป็นชีวิตประจำวัน และถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดความอาฆาตพยาบาทที่รุนแรงได้

# ผู้ที่มีบุญศึกษาคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคนนั้นสะสมมาที่จะรู้ว่า มีค่าที่สุด ประเสริฐที่สุด เป็นรัตนะที่สูงที่สุด ถ้าเราได้ลาภเป็นเพชรนิลจินดา หายได้ไหม ตกน้ำได้ไหม ขโมยลักได้ไหม โจรปล้นได้ไหม? แต่ความรู้ของเรา ใครจะเอาไปได้ ไม่มีทางที่ใครจะเอาไปได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดสูงที่สุด ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ลาภอันประเสริฐ ก็คือ การได้มีโอกาสฟังและเข้าใจพระธรรม

# สภาพธรรมจริงๆ ยังไม่ต้องเรียกอะไรทั้งสิ้น สิ่งนั้นก็มี แล้วใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสิ่งนั้นไม่ได้ อย่างกลิ่น เป็นสภาพธรรมที่มี เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ต้องเรียกกลิ่น แต่ลักษณะของกลิ่นก็ปรากฏ โดยกระทบจมูก เสียง ไม่ต้องเรียกว่า เสียง แต่ลักษณะของเสียงก็ปรากฏโดยกระทบหู นั่นคือลักษณะของเขา นี่คือธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าเป็นธรรมหมด แล้วก็เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ด้วย

# พระพุทธศาสนาเจริญหรือเสื่อม อยู่ที่ความรู้ของผู้ที่เป็นชาวพุทธ ถ้าผู้เป็นชาวพุทธไม่ศึกษา แล้วจะบอกว่า พระพุทธศาสนาเจริญนี่ ไม่ได้ เพราะศาสนาคือคำสอนที่ทรงแสดงไว้ ไม่ใช่วัดวาอาราม หรือไม่ใช่พระไตรปิฎกที่เป็นเพียงตัวหนังสือสีดำ สีขาว แต่ต้องเป็นการศึกษาจริงๆ เข้าใจจริงๆ ว่าทั้งหมดที่ทรงแสดงทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวันของทุกคน

# เราต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ มีความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย แม้แต่พระธรรม นอบน้อมโดยการศึกษา ด้วยการพิจารณาด้วยความละเอียดที่จะให้ไม่บิดเบือน ไม่เข้าใจผิดในพระธรรม เพราะว่าถ้าเราเข้าใจผิด จะผิดกันไปตลอด ไม่ตรงกับที่ทรงแสดงไว้ เท่ากับว่าเราไม่ใช่ผู้ที่มีความเคารพในพระธรรม

# พระปัญญาคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงว่า สภาพธรรมใดเป็นนามธรรม สภาพธรรมใดเป็นรูปธรรม และทั้งหมดเป็นอนัตตา คือ ไม่มีเจ้าของ ไม่มีอยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น นี่คือพระปัญญาคุณ

# บุญคือสภาพจิตที่ดีงาม ไม่ต้องถามใครต่อไปว่า เป็นบุญไหม ได้บุญมากไหม เพราะว่าเราย่อมรู้ใจของเรา คนอื่นจะรู้ได้อย่างไรว่า ใจเราคิดได้อย่างไร ขณะใดที่จิตอ่อนโยน มีความเป็นมิตรและช่วยเหลือคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นบุญหรือเป็นกุศลจิต หรือขณะที่จิตอ่อนโยน สละสิ่งที่มีให้เป็นประโยชน์สุขแก่คนอื่น ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต

# ทุกอย่างที่มีความจริง มีลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้น อย่างเช่นความโกรธ เวลาเกิดขึ้นรู้เลย หยาบกระด้าง ขณะนั้นผิดจากธรรมดาปกติ วันที่ไม่โกรธก็เป็นคนดี สนุกสนานรื่นเริง แต่พอโกรธเกิดขึ้นมา หงุดหงิด ขุ่นเคือง หยาบกระด้าง และกายวาจาก็แข็งกร้าว อาจจะมีการประทุษร้าย นั่นคือ ลักษณะอาการของสภาพธรรมที่เป็นความโกรธ ไม่มีใครบังคับบัญชาธรรมได้เลย

# พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงในครั้งนั้น ก็เหมือนทรงแสดงกับบุคคลในครั้งนี้ เพื่อความเข้าใจถูก ตั้งแต่คำว่า ธรรม ทุกขณะเป็นธรรม

# ตั้งจิตไว้ชอบแม้ในการฟังพระธรรม คือ ฟังเพื่อเข้าใจถูกเห็นถูก

# ฟังพระธรรมทีละคำไตร่ตรองให้เข้าใจจริงๆ

# ถ้าไม่ฟังพระธรรม แต่คิดเอง ก็ต้องผิดแน่นอน แล้วจะเอากิเลสออกได้อย่างไร

# สะสมความไม่รู้มามาก จึงต้องสะสมปัญญามากเหมือนกัน จึงจะสามารถขัดเกลาละคลายความไม่รู้ที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ได้

# เก็บเล็กผสมน้อย ค่อยๆ สะสมปัญญาในแต่ละครั้งที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

# จะต้องเศร้าโศกต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้อยู่.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม...ครั้งที่ ๑๗๘

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 ม.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ ขณะนี้ที่กำลังฟัง ตั้งตนไว้ชอบหรือเปล่า คือ ขณะที่ฟังให้เข้าใจ ขณะนั้น ตั้งตนไว้ชอบ

@ ฟังแต่ละครั้ง ตั้งจิตไว้ชอบ เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อต้องการ

@ ละความไม่รู้จริงๆ เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่ตัวหนังสือ

@ กิจของอวิชชา หน้าของอวิชชา ก็ทำให้ไม่รู้มากมาย กิจของปัญญา หน้าที่ของปัญญา ก็มีมากเช่นกัน ค่ะ เพราะจะต้องละความไม่รู้ที่มีกิจมาก

@ หนทางนี้ เป็นหนทางละโดยตลอด ไม่ใช่หนทางที่เป็นเราที่จะละ

@ ถ้าไม่มีการฟัง คิดเอง ผิดแน่นอน จะเอากิเลสไปออกได้ยังไง เพราะทำด้วยความไม่รู้

@ สติก็เป็นอนัตตา แต่จะได้ยินว่า ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นผิด

@ ยึดถืออะไรบ้างในวันนี้ นับไม่ถ้วน ไม่มีเราที่จะไปละยึดถือ มีแต่กิจคือ ปัญญาเท่านั้น

@ การได้ยินพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง พึ่งพาสัตบุรุษที่ประเสริฐที่สุดหรือเปล่า

@ ตั้งตนไว้ชอบ ฟังธรรมเพื่ออะไร เพราะ ไม่รู้ เพื่อเข้าใจความจริง

@ กว่าจะถึงรู้แล้วละความเห็นผิด อบรมยาวนาน

@ เราเป็นใคร เราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำเตือนที่ให้ไม่ประมาท ที่จะไม่คิดเอง ค่ะ

@ ถ้าไม่เข้าใจธรรม ฟังพระธรรมไม่เข้าใจ ศรัทธาจะเพิ่มขึ้นไหม ค่ะ

@ แต่ละบุคคลที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหลีกพ้นได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ บุคคลรอบข้าง ไม่ว่า จะเป็นบิดามารดา หรือ ญาติพี่น้อง เป็นต้น ย่อมสามารถเป็นที่พึ่ง สามารถช่วยเหลือ ทำกิจต่างๆ ให้แก่เราได้ แต่พอถึงเวลาตายมาถึง บุคคลเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะช่วยต้านทานไว้ได้เลย ดังนั้น ในเมื่อทุกคนต้องตายอย่างแน่นอน จึงควรพิจารณาอยู่เสมอว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไร? เรื่องตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเป็นเพียงจิตขณะเดียว ที่เกิดขึ้นทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ขณะนี้จิตที่ว่านั้น (จุติจิต) ยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นเมื่อใด ไม่มีใครทราบได้ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ จึงเป็นขณะที่สำคัญ ดังนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมกุศลในชีวิตประจำวัน ตามกำลัง ย่อมเป็นสิ่งที่สมควร ครับ

@ ปัญญาเป็นแสงสว่าง ไม่ใช่แสงสว่างอย่างแสงสว่างทั่วไป แต่ แสงสว่างของปัญญา ที่สามารถเห็นตามความเป็นจริง ที่อยู่ในโลกความมืดของอวิชชา ปัญญาก็สามารถเห็นได้ เป็นแสงสว่างอย่างยิ่ง ค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ch.
วันที่ 25 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ch.
วันที่ 25 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จิตและเจตสิก
วันที่ 25 ม.ค. 2558

สาธุ สาธุ ขออนุโมทนา ฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 25 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pulit
วันที่ 26 ม.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 26 ม.ค. 2558

กราบเท้าบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาใน "ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม" ของอาจารย์ทั้งสองท่าน ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paew_int
วันที่ 26 ม.ค. 2558

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 26 ม.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนา และ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kullawat
วันที่ 26 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
j.jim
วันที่ 26 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
siraya
วันที่ 26 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 26 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนา ในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

อ.ผเดิม ยี่สมบุญ และทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เมตตา
วันที่ 26 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
jaturong
วันที่ 26 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Boonyavee
วันที่ 26 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Jans
วันที่ 27 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
nong
วันที่ 29 ม.ค. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
มังกรทอง
วันที่ 22 ก.ย. 2564

เราต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ มีความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย แม้แต่พระธรรม นอบน้อมโดยการศึกษา ด้วยการพิจารณาด้วยความละเอียดที่จะให้ไม่บิดเบือน ไม่เข้าใจผิดในพระธรรม เพราะว่าถ้าเราเข้าใจผิด จะผิดกันไปตลอด ไม่ตรงกับที่ทรงแสดงไว้ เท่ากับว่าเราไม่ใช่ผู้ที่มีความเคารพในพระธรรม

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
มังกรทอง
วันที่ 12 ธ.ค. 2564

สภาพธรรมจริงๆ ยังไม่ต้องเรียกอะไรทั้งสิ้น สิ่งนั้นก็มี แล้วใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสิ่งนั้นไม่ได้ อย่างกลิ่น เป็นสภาพธรรมที่มี เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ต้องเรียกกลิ่น แต่ลักษณะของกลิ่นก็ปรากฏ โดยกระทบจมูก เสียง ไม่ต้องเรียกว่า เสียง แต่ลักษณะของเสียงก็ปรากฏโดยกระทบหู นั่นคือลักษณะของเขา นี่คือธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าเป็นธรรมหมด แล้วก็เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ด้วย

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ธ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ