ช่วงประทับใจ (๕) ... สนทนาธรรมที่โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง เชียงใหม่ _ มกราคม ๒๕๕๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การสนทนาธรรมในแต่ละครั้ง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก จากที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ก็ได้ยินได้ฟังได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกจากการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง และ เมื่อได้ฟังต่อไปอีก ก็ยิ่งเพิ่มความชัดเจนยิ่งขึ้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เคยได้ฟังมาแล้วก็ตาม การสนทนาธรรม ที่โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง เชียงใหม่ ในวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันแรกของการสนทนาธรรมที่เชียงใหม่คราวนี้นั้น มีอยู่ช่วงหนึ่ง ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้สนทนาถึงคำว่า ปรมัตถ์ นิมิต บัญญัติ เป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจจริงๆ ซึ่งจะต้องฟังทบทวนบ่อยๆ
เนื่องจากเป็นช่วงที่มีค่าอย่างยิ่งที่ได้ยินได้ฟังในความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรม จึงขออนุญาตถอดคำสนทนาช่วงดังกล่าว ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ เพื่ออ่านทบทวน เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้
"คำว่า ปรมัตถ์ นิมิต บัญญัติ ก็ต้องเข้าใจ ถ้าไม่มีธรรมใดๆ เลย ทั้งสิ้น ไม่มีปรมัตถ์ใดๆ เลย โลกก็ไม่มี ต้นไม้ก็ไม่มี จะว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นภูเขา ก็มีไม่ได้เลย แต่เมื่อมีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับด้วย เกิดดับสืบต่อ ทุกอย่างที่เกิดต้องดับ แต่ดับเร็วกว่าที่ใครจะคิดได้ เพราะเหตุว่าจิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับ ใครรู้ ไม่มีทางรู้ได้เลย เดี๋ยวนี้กี่ขณะที่คนนั้นคนนี้ที่นั่งที่นั่นที่นี่ นับไม่ถ้วนเลย เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าจิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับไป นิมิตไม่มี แต่เวลาที่จิตเกิดขึ้นซ้ำๆ กัน อย่างขณะนี้ เห็นต้องซ้ำกันเท่าไหร่ เพราะว่าเกิดแล้วดับเร็วมาก และการดับไปของจิตขณะก่อนเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น คิดดูว่าจะเร็วสักแค่ไหน สภาพใดก็ตาม ธาตุรู้ เกิดขึ้นแล้วดับไป จิตและเจตสิกเกิดดับพร้อมกัน เมื่อจิตขณะหนึ่งดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น บังคับให้ห่างๆ กันก็ไม่ได้ เพราะเป็นอนันตรปัจจัย เปลี่ยนไม่ได้ นี้คือ สภาพธรรม ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อไม่รู้การเกิดดับของจิตทีละหนึ่งขณะ ก็ปรากฏให้เพียงรู้ได้ว่านิมิตของจิตขณะนี้ ขณะที่กระทบแข็ง แข็งปรากฏนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ก็ปรากฏนิมิตของแข็ง และจิตที่กำลังรู้แข็ง เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วปรากฏให้รู้ได้โดยนิมิต
เจตสิก เช่น ความรู้สึก เสียใจ ๑ ขณะ ไม่มีทางจะเดือดร้อนเลยแค่หนึ่งขณะจิตที่เกิดแล้วดับไป แต่เดือดร้อนมาก ทุกข์ใจมาก ความเสียใจเกิดสืบต่อเหมือนไม่ได้ดับไปเลย บางคนอาจจะเสียใจนานมากเลย แต่เขาไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นเป็นสภาพของเจตสิก เป็นสภาพความรู้สึกไม่ใช่จิต เพราะว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ซึ่งทำให้เวทนาประเภทนั้นเกิดขึ้น เช่น เสียใจ เห็นคนที่จากไปตายปัจจุบันทันด่วน แต่ความเสียใจหนึ่งขณะไม่เดือดร้อน แต่พอมากๆ เข้าทนไหวไหม? นี้คือ นิมิตของความเสียใจ นิมิตของความดีใจก็เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครรู้ความจริงของสิ่งนั้น เพียงปรากฏว่าสิ่งนั้นมี แต่ไม่ประจักษ์การเกิดดับ จึงหลงเข้าใจว่าเที่ยงและเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน เพราะฉะนั้น จากปรมัตถธรรม ซึ่งเกิดดับสืบต่อ ปรากฏเป็นนิมิตของแต่ละหนึ่ง
เวลานี้จำหรือเปล่า จำไม่ใช่เห็น เห็นเป็นเห็น เห็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เมื่อเห็นสิ่งใดก็จำสิ่งที่เห็น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เหมือนมีคนนั้นไม่ได้หายไปเลยสักขณะเดียว สืบต่อนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด จะยิ้มจะพูดจะทำอะไรก็ยังเป็นคนนั้น เพราะจำ จำก็สืบต่อไม่ปรากฏว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากจำ จำเป็นจำ รู้สึกเป็นรู้สึก ดีใจเป็นดีใจ เสียใจเป็นเสียใจ โกรธเป็นโกรธ โกรธหนึ่งขณะเดือดร้อนไหม? ไม่เดือดร้อน แต่โกรธจนกระทั่งรู้สึกว่าวันนี้โกรธ เพราะฉะนั้น นิมิตทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษาทีละคำ ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม นิมิตไม่มี แต่เมื่อมีปรมัตถธรรม ทำไมไม่รู้จักปรมัตถธรรม เพราะเกิดดับสืบต่อเพียงเป็นนิมิต สภาพที่ไม่เที่ยงก็เห็นว่าเที่ยง สภาพที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ก็หลงว่าเป็นคนบ้าง เป็นดอกไม้บ้าง เป็นโต๊ะบ้าง เพราะนิมิตของสิ่งที่เมื่อปรากฏซ้ำๆ กัน สิ่งที่ปรากฏหลากหลาย เราไม่รู้เลยว่าจิตแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นรู้อะไร และสิ่งที่ไม่ใช่ธาตุรู้ที่ไม่ใช่จิตเจตสิก ก็มี แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร
แต่ก่อนที่จะมีบัญญัติก็ต้องมีนิมิต เพราะเหตุว่าเวลานี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่ได้เรียกชื่อ เช่น นั่นอะไร เป็นนิมิต แต่ยังไม่เรียกชื่อ ถ้าจะเรียกก็เรียกเพื่อให้หมายรู้กันว่าหมายถึงสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีนิมิตแล้ว ก็มีบัญญัติคือรู้ได้ด้วยอาการนั้นๆ คือ อาการของนิมิต นิมิตอย่างนี้รู้ได้ว่าคน นิมิตอย่างนี้รู้ได้ว่าไม่ใช่คน เพราะนิมิตซึ่งจะเป็นเหตุให้รู้ได้ด้วยอาการนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีนิมิตแล้วจะหมายรู้ว่าเป็นอะไร ก็ใช้เสียงเป็นสัททบัญญัติ แต่ถ้าเราไม่ต้องใช้เสียงเลย แต่รู้ได้โดยอาการ นิมิตนั้น ก็เป็นอรรถบัญญัติ งูรู้ว่าอะไรเป็นอาหารไม่ต้องเรียก แต่เห็นนิมิตแล้วมีบัญญัติในสิ่งนั้นว่าเป็นอะไรโดยอรรถ รูปร่างต่างกัน แต่ไม่ต้องมีคำที่จะต้องเรียกชื่อสิ่งนั้นเลย แต่สำหรับคนที่ใช้ภาษาได้ พูดได้ เราก็มีคำมากที่จะเรียกสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าอะไร แต่ถ้าไม่ใช่คน อย่างน้อยก็ต้องมีปรมัตถธรรม มีนิมิต มีบัญญัติ ที่เป็นอรรถบัญญัติ แต่ถ้าเป็นสัททบัญญัติ ก็หลากหลายไปตามภาษาต่างๆ "
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอเชิญอ่านตอนต่อไป ...
ช่วงประทับใจ (๑) ... สนทนาธรรมที่โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง เชียงใหม่ _ มกราคม ๒๕๕๘
ช่วงประทับใจ (๒) ... สนทนาธรรมที่โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง เชียงใหม่ _ มกราคม ๒๕๕๘
ช่วงประทับใจ (๓) ... สนทนาธรรมที่โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง เชียงใหม่ _ มกราคม ๒๕๕๘
ช่วงประทับใจ (๔) ... สนทนาธรรมที่โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง เชียงใหม่_มกราคม ๒๕๕๘
ช่วงประทับใจ (๕) ... สนทนาธรรมที่โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง เชียงใหม่ _ มกราคม ๒๕๕๘
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ กุศลศรัทธา ของทุกๆ ท่านค่ะ
ความเสียใจหนึ่งขณะไม่เดือดร้อน แต่พอมากๆ เข้าทนไหวไหม? นี้คือ นิมิตของความเสียใจ นิมิตของความดีใจก็เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครรู้ความจริงของสิ่งนั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะและเมตตาของอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย
และอนุโมทนาในกุศลของทุกท่าน ครับ.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของอ. คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยครับ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ