เกิดเป็นมนุษย์แบบโอปปาติกะ (พระอุบลวรรณาเถรี)
พระอุบลวรรณาเถรีทำบุญอะไรมาถึงมีอยู่ชาติหนึ่งได้เกิดเป็นมนุษย์แบบโอปปาติกะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ครั้นจุติจากเทวโลกนั้นแล้ว ก็กลับมาสู่มนุษยโลกอีก บังเกิดในสถานที่ของคนทำงานด้วยมือตนเองเลี้ยงชีวิต ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง วันหนึ่งนางกำลังเดินไปกระท่อมกลางนา ระหว่างทาง เห็นดอกปทุมบานแต่เช้าตรู่ในสระแห่งหนึ่ง จึงลงสู่สระนั้น เก็บดอกปทุมนั้นและใบปทุม สำหรับใส่ข้าวตอก ตัดรวงข้าวสาลีที่คันนา นั่งในกระท่อม คั่วข้าวตอก จัดวางข้าวตอกไว้ ๕๐๐ ดอก ขณะนั้น ที่ภูเขาคันธมาทน์ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ มายืนไม่ไกลนาง นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือเอาดอกปทุมพร้อมด้วยข้าวตอกลงจากกระท่อม ใส่ข้าวตอกลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า เอาดอกปทุมปิดบาตรถวาย ขณะนั้น เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าไปได้หน่อยหนึ่ง นางก็ปริวิตกว่า ธรรมดานักบวชไม่ต้องการดอกไม้ จำเราจะไปถือดอกไม้มาประดับเสียเอง จึงไปถือดอกไม้มาจากมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็คิดอีกว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการดอกไม้ ก็จักไม่ให้วางไว้บนบาตร พระผู้เป็นเจ้าคงจักต้องการแน่แท้ จึงไปวางดอกไม้ไว้บนบาตรอีก ขอขมาพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว การทำความปรารถนาว่า เจ้าพระคุณเจ้าข้า ด้วยผลของข้าวตอกเหล่านี้ของข้าพเจ้า ขอบุตรของข้าพเจ้าจงมีเท่าจำนวนข้าวตอก [๕๐๐] ด้วยผลของดอกปทุม ขอดอกปทุมจงผุดขึ้นทุกๆ ย่างก้าว ในสถานที่ข้าพเจ้าบังเกิดแล้วบังเกิดอีก พระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไป ยังภูเขาคันธมาทน์ ทั้งที่นางเห็นอยู่นั่นแล แล้วก็วางดอกปทุมนั้นไว้เป็นเครื่องเช็ดเท้า ใกล้บันใดเหยียบของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ. ด้วยผลของกรรมนั้น แม้นางก็ถือปฏิสนธิในเทวโลก นับแต่นางบังเกิดแล้วปทุมดอกใหญ่ก็ผุดทุกๆ ย่างก้าวของนาง นางจุติจากเทวโลก นั้นแล้ว ก็บังเกิดในห้องปทุม ในสระปทุมแห่งหนึ่งใกล้เชิงภูเขา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การเกิด แสดงถึงความเป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นผลของกุศลกรรมหนึ่งกุศลกรรมใด จะเห็นได้ว่าในชาติสุดท้ายท่านอุบลวรรณาไม่ได้เกิดจากดอกบัว แต่ชาติก่อนในสมัยเป็นนางปทุมวดี ท่านเกิดจากดอกบัว ซึ่งเป็นการเกิดขึ้นด้วยอานุภาพของบุญ ดำรงอยู่ได้ด้วยอานุภาพของบุญ
แต่ละคน ก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ ซึ่งก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก และ รูป ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ถ้าไม่รู้พระธรรม ชีวิตจะเป็นเช่นใดน่ากลัวเหลือเกิน
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอ.ทั้งสองท่านค่ะ