จำเป็นต้องบวชหรือไม่?
นโม ตสฺส ภควโต
อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต
อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต
อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
การบวช เป็นเรื่องที่ยากมาก และการยินดีในการบวช ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน เพราะการบวช เป็นการเว้นทั่ว เว้นจากอกุศล เว้นจากสิ่งที่ทำให้ติดข้องต้องการ เป็นต้น แสดงถึง เพศที่แตกต่างไปจากคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง ถ้าหากล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย เป็นผู้ย่อหย่อน ไม่รักษาพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ขาดความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย ย่อมเป็นผู้มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเท่านั้น เมื่อต้องอาบัติแล้ว ไม่กระทำคืนตามพระวินัย ก็เป็นเครื่องกั้นการบรรลุมรรคผลนิพพาน กั้นการไปสู่สุคติด้วย แทนที่จะได้กระทำกิจที่ควรทำ ที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเอง แต่กลับไปเพิ่มอกุศล เพิ่มความไม่รู้ เพิ่มเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง ที่จะทำให้ได้รับผลที่ไม่ดีในอนาคตข้างหน้า เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเป็นอย่างมากทีเดียว
บุคคลในครั้งพุทธกาล ท่านได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรมจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เห็นโทษของการอยู่ครองเรือน ว่า คับแคบ (คับแคบด้วยอกุศล คับแคบด้วยกิเลส) มีแต่จะเป็นเครื่องพอกพูนกิเลสให้หนาแน่นขึ้น แล้วมีอัธยาศัยน้อมไปที่จะขัดเกลากิเลสให้ยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ จึงสละทุกสิ่งทุกอย่าง สละทรัพย์สมบัติ สละวงศาคณาญาติ แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยความจริงใจ ด้วยความตั้งใจที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ จนกระทั่งสูงสุด ถึงความเป็นพระอรหันต์ [ไม่ใช่บวชด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่บวชตามๆ กัน ไม่ใช่บวชเพราะอยากจะบวช เป็นต้น] ความเป็นบรรพชิต ความเป็นสมณะ ถ้ารักษาไม่ดี มีแต่จะฉุดคร่าไปสู่นรกโดยส่วนเดียว ไม่ควรเห็นว่า พระภิกษุ จะไม่ตกนรก เพราะถ้าประพฤติไม่ดี เที่ยวย่ำยีสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ก็ล้วนแล้วแต่ กำลังทำทางที่จะทำให้ตนเองไปสู่อบายภูมิ ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยจริงๆ ที่สำคัญความเป็นบรรพชิตไม่ได้อยู่ที่เพศ หรือ เครื่องแต่งกาย หรือ บริขารเครื่องใช้สอย แต่อยู่ที่ความเป็นผู้จริงใจในการขัดเกลากิเลส
ดังนั้น การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จะเป็นหญิงหรือชาย ก็ตาม ถ้าหากว่ามีโอกาสที่จะได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พร้อมทั้งเจริญกุศลทุกประการ นั่นย่อมเป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างมาก เพราะเหตุว่า ไม่มีใครสามารถทราบได้ว่า จะจากโลกนี้ไป (ตาย) เมื่อใด และเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิด ในภพภูมิใด ถ้าหากไปเกิดในอบายภูมิ ย่อมหมดโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรม ไม่มีโอกาส ที่จะอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ฉะนั้นแล้ว ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุด เท่าที่จะมากได้ และควรที่จะได้พิจารณาว่า ไหนๆ ก็จะต้องตายอยู่แล้ว การเป็นคนดี และฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะไปทำอะไรอย่างอื่นด้วยความไม่รู้ เพราะการที่จะเป็นคนดี ก็สามารถที่จะเป็นได้ แม้ไม่ได้บวช.
---------------------------------------------
พระคุณเจ้า คือ เพศบรรพชิต คงไม่มีใครเรียกคฤหัสถ์ว่าพระคุณเจ้า, คฤหัสถ์ย่อมกราบไหว้ในคุณความดีของบรรพชิต ที่มีศรัทธาสละอาคารบ้านเรือนออกบวช ซึ่งเป็นผู้ที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลส แต่ถ้าบรรพชิตไม่มีคุณความดี คฤหัสถ์ก็คงจะกราบเพียงผ้ากาสาวพัสตร์ ระลึกถึงพระภิกษุสาวกในอดีต มีพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น
อ้างอิงจาก ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๖
----------------------------------
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความสำหรับพิจารณาเพิ่มเติมได้ที่นี่
การบวช เป็นเรื่องยาก [คาถาธรรมบท]
...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน...
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรและผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน
ซาบซึ้งยิ่งนัก
บุคคลในครั้งพุทธกาล ท่านได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เห็นโทษของการอยู่ครองเรือน ว่าคับแคบ (คับแคบด้วยอกุศล คับแคบด้วยกิเลส) มีแต่จะเป็นเครื่องพอกพูนกิเลส ให้หนาแน่นขึ้น แล้วมีอัธยาศัย น้อมไปที่จะขัดเกลากิเลส ให้ยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ จึงสละทุกสิ่งทุกอย่าง สละทรัพย์สมบัติ สละวงศาคณาญาติ แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยความจริงใจ ด้วยความตั้งใจ ที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ จนกระทั่งสูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์
ขออนุโมทนา กับ มศพ และ คณะวิทยากร
ที่นำข้อมูลที่เป็นความรู้กับชาวพุทธอย่างยิ่ง
ปริญญา