ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๘๕

 
khampan.a
วันที่  8 มี.ค. 2558
หมายเลข  26283
อ่าน  2,191

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๘๕

# เป็นการยากสำหรับผู้ที่มีอวิชชาหนาแน่น ที่จะเห็นโทษของความไม่รู้และโลภะ เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม แม้ในการประพฤติปฏิบัติ ซึ่งท่านคิดว่า ท่านต้องการจะดับกิเลส แต่แม้กระนั้นก็ตามก็ยังคล้อยตามโลภะไปว่า มีหนทางใดที่จะทำให้โลภะหรือกิเลสทั้งหลายดับได้โดยรวดเร็ว

# จะต้องพิจารณาจริงๆ ว่า การฟังพระธรรม การศึกษาธรรมนั้น เพื่อรู้เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน จึงจะเป็นประโยชน์ของการศึกษา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นผู้ที่ไม่รู้จุดประสงค์ของการศึกษา อวิชชาก็สามารถจะกำบังได้อีก ทำให้ไม่เห็นประโยชน์ว่า ศึกษาพระธรรมเพื่ออะไร

# ธรรมที่ตรงกันข้ามกัน คือ อวิชชาและวิชชา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นเรื่องของวิชชา คือ ปัญญาแล้ว ย่อมมีความดำริชอบ แม้แต่การคิดนึกก็เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ และก็เป็นการละคลายอกุศล ซึ่งในชีวิตประจำวันของแต่ละท่าน เมื่อท่านเป็นผู้ที่สังเกตกาย วาจา ใจของท่านเองในแต่ละวาระ แต่ละโอกาส ก็ย่อมจะรู้ได้ว่า ขณะใดเป็นไปด้วยอวิชชา และขณะใดเป็นไปด้วยวิชชา

# อวิชชา เกิดขึ้นขณะใดเป็นเหตุให้มีความดำริผิด มีความคิดผิด เป็นอโยนิโสมนสิการ แต่ขณะใดที่วิชชาเกิดขึ้น ก็จะทำให้ความดำริถูก วาจาถูก การกระทำถูก อาชีพถูก ความเพียรถูก การระลึกถูก ความรู้ถูก และการหลุดพ้นถูกต้องด้วย

# อาสวะ คือ สภาพของอกุศลธรรมซึ่งไหลไปสู่อารมณ์ต่างๆ อยู่เรื่อยๆ หมักดองสะสมแล้วก็ไหลไปสู่อารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ขณะใดที่สติไม่เกิด ขณะนั้นไม่เป็นกุศล ก็รู้ได้เลยว่า ขณะนั้นต้องเป็นไปเพราะโมหะ ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จึงเป็นอาสวะ

# ทุกท่านที่มีความสุขในปัจจุบันชาตินี้ คงจะระลึกถึงอดีตกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วไม่ได้ก็จริง แต่ขณะใดที่เป็นกุศลวิบาก มีการได้รับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ดี ขณะนั้นก็เป็นผู้ที่สามารถจะพิจารณาได้ว่า ต้องเกิดขึ้นเป็นผลของกุศลเหตุที่ได้กระทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว คือ ไม่สูญหาย เมื่อเหตุได้กระทำไว้แล้ว สะสมไว้แล้ว ก็เป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น

# กรุณาเป็นโสภณเจตสิก ๑ ดวง และเมตตา ได้แก่ อโทสเจตสิก เป็นโสภณเจตสิกอีก ๑ ดวง ไม่ใช่ดวงเดียวกัน แต่ว่าอกุศลและกุศลยังเกิดสลับกันได้ ฉันใด กุศลจิตแต่ละประเภทก็ย่อมเกิดสลับกันได้ ไม่ควรจะมีกฎเกณฑ์ เพียงแต่เป็นผู้ที่สังเกตลักษณะของสภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแต่ละขณะ ก็จะรู้ได้ว่า ขณะใดเป็นกรุณา และขณะใดเป็นเมตตา

# พระผู้มีพระภาคทรงชี้โทษของอวิชชา เพื่อจะให้ทุกท่านเห็นโทษของอวิชชา ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ แล้วชีวิตของท่านก็จะอบรมเจริญความรู้ เพื่อที่จะละอวิชชา แทนที่ไม่ต้องการจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ว่าต้องการอย่างอื่น นี่ก็เป็นสิ่งที่จะเตือนผู้ที่ไม่รู้ เพื่อที่จะเห็นว่า กุศลใดๆ ไม่สามารถที่จะดับภพชาติได้ นอกจากการอบรมเจริญปัญญา

# การเป็นผู้รอบคอบ การเป็นผู้ละเอียด การเป็นผู้ตรงต่อลักษณะของสภาพธรรม จะทำให้สามารถรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริงได้ แต่ถ้ายังมีความไม่ตรงอยู่แม้เพียงเล็กน้อย ไม่สามารถจะเจริญหนทางข้อปฏิบัติที่จะดับกิเลสได้

# เรื่องของอวิชชาเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่สามารถจะปิดบังความจริง สามารถที่จะปิดบังเหตุและผลของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันต้องเป็นผู้ละเอียด ต้องเป็นผู้พิจารณา และต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรม

# การศึกษาพระธรรม ต้องรู้ว่าเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าศึกษาเรื่องของอวิชชาเพื่อเห็นโทษ และเมื่อเห็นโทษของอวิชชาแล้ว ก็จะได้หาทางที่จะอบรมเจริญปัญญา ความรู้ เพื่อที่จะละความไม่รู้ การรู้สภาพธรรมที่ละเอียดขึ้น ควรที่จะรู้ประโยชน์ว่า เพื่อละคลายการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

# ถ้าแสดงธรรมกับผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีฉันทะ จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะเหตุว่าผู้นั้นจะไม่มีความเพียร ความพยายามที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

# บางคนก็บอกว่า โกรธลูกมาก รีบไปเอาหนังสือเมตตามาอ่าน ดูเหมือนกับว่า ทันทีที่โทสะเกิดขึ้น ก็จะไปหาน้ำมาดับไฟ คือ หยิบหนังสือเรื่อง “เมตตา” แล้วก็อ่านเรื่องเมตตา แต่ในขณะนั้นก็รู้ว่า ไม่หายโกรธ เพราะเหตุว่ามีปัจจัยพร้อมที่จะเกิด โทสะก็เกิด แต่ว่าปัจจัยที่จะให้เมตตาเกิดน้อยกว่าโทสะมาก เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะอ่านหนังสือเรื่องเมตตา เพื่อที่จะให้ไม่เกิดโทสะในขณะนั้น ก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้ เพราะเหตุว่าเหตุปัจจัยของโทสะมีมากกว่าเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดเมตตา

# ถ้าเขาเป็นผู้ที่มีศีล มีคุณ ความโกรธของเราจะสามารถทำให้เขาเป็นผู้ที่หมดคุณ หมดศีลได้ไหม? ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความโกรธนั้นก็ไม่มีประโยชน์เลย นอกจากนั้นก็เป็นผู้ที่จะต้องได้รับผลของความโกรธของตนเอง แต่เวลาที่คนอื่นโกรธท่าน ท่านก็ไม่ควรที่จะโกรธตอบด้วย เพราะควรที่จะพิจารณาใคร่ครวญว่า แม้บุคคลอื่นโกรธเราแล้ว จักทำอะไรเราได้ จักอาจยังคุณมีศีลเป็นต้นของเราให้พินาศไปได้หรือ

# ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ศึกษาธรรม ใคร่ครวญธรรม พิจารณาธรรม แล้วก็เจริญเมตตา แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงว่า ถึงแม้ว่าโทสะจะไม่เกิดบ่อยอย่างที่เคย หรือว่าจะลดน้อยเบาบางลงไปก็ตาม แต่ก็ยังไม่หมดความขุ่นใจ เคืองใจ แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ โดยสิ้นเชิง จนกว่าจะบรรลุความเป็นพระอนาคามีบุคคล

# อารมณ์ที่ดีทั้งหลายก็ต้องเป็นผลของกุศลกรรม เมื่อถึงเวลาที่กุศลกรรมให้ผล สิ่งต่างๆ ก็ย่อมจะกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ถึงแม้ว่าจะปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ตรงกันข้าม

# ฟังพระธรรมมา ๓๐ ปี ๔๐ ปี ยังน้อยมาก ถ้าเทียบกับกิเลสที่สะสมมาอย่างมากในสังสารวัฏฏ์

# ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ทำกิจละความไม่รู้ ความเห็นผิด และกิเลสทั้งหลาย

# โลภะ ความติดข้องต้องการ ไม่ได้ทิ้งไปเลย ติดตามไปตลอด

# ค่อยๆ ฟังพระธรรม ค่อยๆ เข้าใจไป เป็นการละความติดข้องต้องการที่อยากจะรู้มากๆ

# ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

# ทั้งหมดของคำสอนเพื่อให้ถึงความเข้าใจถูก

# ถ้าบอกว่า ไม่ต้องศึกษาปริยัติ ไปปฏิบัติเลย ผู้นั้น เป็นผู้ปฏิเสธคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

# ผู้ที่เป็นกตัญญูกตเวทีบุคคล คือ ผู้ที่รู้อุปการคุณที่บุคคลอื่นกระทำแล้วในตนแล้วประกาศอยู่ คือ แสดงความรู้คุณความดีของบุคคลนั้นด้วยกาย ด้วยวาจา ทางกายอาจจะโดยความเอาใจใส่ เป็นธุระต้อนรับ เชื้อเชิญดูแลช่วยเหลือต่างๆ ทางวาจาก็เป็นปฏิสันถาร (ต้อนรับ) เป็นความเอื้อเฟื้อต่างๆ เป็นต้น

# ถ้าปฏิบัติผิด ไม่ใช่กตัญญูกตเวทีบุคคล เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ระวังจริงๆ ที่จะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอย่างถูกต้อง และก็ประพฤติปฏิบัติตามอย่างถูกต้องด้วย

# พระภิกษุจะต้องบริสุทธิ์จริงๆ มิฉะนั้นแล้วจะเป็นพระภิกษุทำไม เป็นคฤหัสถ์ก็ได้ ศึกษาธรรมได้ เข้าใจธรรมได้ อบรมเจริญปัญญาได้ ทำไมจึงต้องเป็นพระภิกษุ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีความประพฤติขัดเกลายิ่งกว่าคฤหัสถ์.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๘๔

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Boonyavee
วันที่ 8 มี.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของ อ. คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 8 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ

วันนี้ ผมมีความซาบซึ้งใจ ในข้อความที่ได้อ่านจากกระทู้ ความสำคัญวันมาฆบูชา

ที่กล่าวว่า...

"...กุศลทุกประเภท ถึงแม้จะเล็กๆ น้อยๆ ที่ควรเว้นได้ ก็ควรที่จะเว้น

ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ

เพราะในขณะที่จิตเป็นกุศลนั้น ก็ได้ชื่อว่ายังจิตของตนให้ผ่องใสแล้วชั่วขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น

พร้อมทั้งจะต้องเป็นผู้มีความอดทนต่อทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน

อีกทั้งจะต้องไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นให้เดือดร้อน ทั้งด้วยกายและวาจา เป็นต้น..."

เป็นความที่เตือนใจตนเองได้มีค่าที่สุดในวันนี้ของผม เพื่อสำรวมระวังต่อไป ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
isme404
วันที่ 8 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 9 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pulit
วันที่ 9 มี.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ กุศลศรัทธา ของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

และชออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
siraya
วันที่ 9 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 9 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 9 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kullawat
วันที่ 10 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 10 มี.ค. 2558

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่นด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 10 มี.ค. 2558

กุศลใดๆ ไม่สามารถที่จะดับภพชาติได้ นอกจากการอบรมเจริญปัญญา

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 10 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 12 มี.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ms.pimpaka
วันที่ 24 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เจียมจิต
วันที่ 17 ธ.ค. 2562

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
มังกรทอง
วันที่ 17 ธ.ค. 2564

ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ศึกษาธรรม ใคร่ครวญธรรม พิจารณาธรรม แล้วก็เจริญเมตตา แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงว่า ถึงแม้ว่าโทสะจะไม่เกิดบ่อยอย่างที่เคย หรือว่าจะลดน้อยเบาบางลงไปก็ตาม แต่ก็ยังไม่หมดความขุ่นใจ เคืองใจ แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ โดยสิ้นเชิง จนกว่าจะบรรลุความเป็นพระอนาคามีบุคคล น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ