ความเห็นถูกความเห็นผิด

 
azide
วันที่  21 เม.ย. 2558
หมายเลข  26477
อ่าน  1,576

ความเห็นถูกความเห็นผิด กุศล อกุศล ต่างก็เป็นธรรมเกิดแต่เหตุไม่มีอะไรบังคับได้ แล้วทุกสรรพสิ่งก็ไม่ควรทำอะไรเลย แล้วพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อเหตุอันใดเพราะทุกคนก็เป็นธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วจะฟังธรรมแล้วค่อยๆ รู้ได้อย่างไร เพราะการ..ฟังธรรมแล้วค่อยๆ รู้ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่บังคับไม่ได้เช่นกัน .โดยความเคารพอย่างสูง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นควรเข้าใจความละเอียดของคำว่า อนัตตา ครับ

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑- หน้าที่ 172ชื่อว่า เป็น อนัตตา เพราะเหตุ ๔ เหล่านั้น คือ โดยความเป็นของสูญ ๑ โดยความไม่มีเจ้าของ ๑ โดยเป็นสิ่งที่ควรทำตามชอบใจไม่ได้ ๑ โดยปฏิเสธต่ออัตตา ๑.

------------------------------------------------------------------------

โดยความเป็นของสูญ คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลย สูญไปเลย แต่มีสภาพธรรม เพียงแต่สูญ คือ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนในสภาพธรรมนั้นเลย เพราะเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา สัตว์ บุคคล ครับ

โดยความไม่มีเจ้าของ คือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของสภาพธรรม ที่คิดว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัตินั้นก็ไม่รู้ว่าว่ามีคนเป็นเจ้าของเพราะเป็นแต่เพียงรูป และทรัพย์สมบัติก็เสื่อมสลายไป ไม่มีใครที่เป็นเจ้าของได้จริงๆ ผู้ที่เป็นเจ้าของ ก็ต้องจากไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ เพราะเป็นแต่เพียงธรรมที่เป็นอนัตตา ครับ

โดยเป็นสิ่งที่ควรทำตามชอบใจไม่ได้ คือ ไม่สามารถให้ จิต เจตสิก รูปและสภาพธรรมเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ตามใจชอบได้เลย และไม่ให้ดับไปก็ไม่ได้ จะให้ยั่งยืนอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้

โดยปฏิเสธต่ออัตตา คือ ปฏิเสธว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนอยู่ในสภาพธรรม ครับ

นี่คือ อรรถ 4 อย่างที่แสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม

ดังนั้นจึงกลับมาที่คำถามที่ว่า

ความเห็นถูกความเห็นผิด กุศล อกุศล ต่างก็เป็นธรรมเกิดแต่เหตุไม่มีอะไรบังคับได้ แล้วทุกสรรพสิ่งก็ไม่ควรทำอะไรเลย แล้วพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อเหตุอันใดเพราะทุกคนก็เป็นธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วจะฟังธรรมแล้วค่อยๆ รู้ได้อย่างไรเพราะการ..ฟังธรรมแล้วค่อยๆ รู้ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่บังคับไม่ได้เช่นกัน

------------------------------------------------------

ดังนั้นธรรมที่เป็นอนัตตา มีความละเอียด แสดงถึงว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรม และ บังคับไม่ได้ คือ เกิดแล้ว ตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครที่จะควร ไม่ควรทำ เพราะไม่มีเราที่จะทำ แต่ธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย เหมือนขณะนี้ เห็น และ คิดนึก ไม่สามารถบังคับไม่ให้คิดนึก คิดแล้ว ตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา แม้จะคิดว่าควรทำ ไม่ควรทำ แต่ธรรมทำกิจหน้าที่แล้วในขณะนี้ แสดงถึงความเป็นอนัตตา ที่ไม่ใช่เราและบังคับไม่ได้ และ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้เข้าใจถูก นั่นคือ เมื่อ ธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็สะสมเหตุที่จะทำให้เกิดปัญญาความเข้าใจถูก ขณะนี้ มีเหตุที่ทำให้เกิดกิเลส เกิดอวิชชา ความไม่รู้ แต่เมื่อได้มีโอกาสฟังพระธรรม ก็สะสมเหตุใหม่ คือ ปัญญาความเข้าใจถูก ปัญญาที่ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่เรา และ บังคับไม่ได้ แต่เกิดจากเหตุ คือ การฟังพระธรรม ก็ทำกิจหน้าที่ละความไม่รู้ คือ ไม่มีเรา ที่จะละหรือไม่ละ แต่ปัญญาทำกิจนั้น ก็แสดงความเป็นอนัตตาอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจถูกในความเป็นอนัตตา อนัตตาที่บังคับไม่ได้ แต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดสภาพธรรมอื่นๆ ได้ จึงสะสมเหตุปัจจัยใหม่ที่จะทำให้ละกิเลส ละอวิชชา คือ การทำดีและศึกษาพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kullawat
วันที่ 21 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 21 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถ้าบังคับได้ ทุกคนก็มีแต่กุศล แต่ความจริงบังคับไม่ได้ ที่มีอกุศล บ้าง มี กุศลบ้าง ก็แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

ก็ต้องตั้งต้นที่การค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ขอให้มีความเข้าใจในแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟังแม้แต่คำว่ากุศล กับ อกุศล ก็กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะกุศล เป็นสภาพธรรมที่ดี เป็นธรรมที่กำจัดบาปธรรม เป็นธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมที่ให้ผลเป็นสุข เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ และมีในชีวิตประจำวันด้วย เช่น ขณะที่ฟังพระธรรมเข้าใจ ขณะนั้นเป็นกุศล ขณะที่มีเมตตา มีความเป็นมิตร เป็นเพื่อนกับผู้อื่น ไม่หวังร้ายต่อผู้อื่น ขณะที่มีการสละสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น เป็นต้น เป็นตัวอย่างของขณะที่เป็นกุศลในชีวิตประจำวัน ส่วน อกุศลเป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับกุศลอย่างสิ้นเชิง เพราะอกุศลเป็นธรรมที่ไม่ดี เป็นสภาพธรรมที่มีโทษ ไม่นำมาซึ่งคุณประโยชน์ใดๆ เลย และมีจริงในชีวิตประจำวันอกุศล ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่อยู่ในชีวิตจริงๆ เช่น ขณะที่ติดข้อง ขณะที่ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ ขณะที่ริษยา ขณะที่ตระหนี่ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นขณะที่เป็นอกุศล เป็นธรรมฝ่ายไม่ดี ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่

สำหรับเรื่องของกุศลนั้น จะต้องเข้าใจด้วยว่ากุศลที่เกิดนั้น ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็มี มีปัญญา เกิดร่วมด้วยก็มี ไม่ใช่ว่าขณะที่เป็นกุศลทุกครั้ง จะต้องมีปัญญาเกิดร่วมด้วย แม้ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย แต่ก็เป็นกุศลได้ โดยที่เป็นกุศลที่ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา แต่ถ้ามีเหตุปัจจัยให้ปัญญาเกิดไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เมื่อใดก็ตาม ปัญญาก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ได้

ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรมที่ดีงาม เป็นสภาพธรรมที่มีความเข้าใจถูกเห็นถูก กิจของปัญญา คือ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ขณะที่ปัญญาเกิดนั้นก็พร้อมด้วยเจตสิกธรรมที่ดีงามประการอื่นๆ มีศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น และถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะอุปการะให้กุศลเจริญยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะปัญญาจะไม่นำพาไปสู่ทางตกต่ำเลย มีแต่จะทำให้ความดีเจริญขึ้น เป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แล้วน้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกที่ควร ละทิ้งในสิ่งที่ไม่ควร ขณะที่ปัญญาเกิดจะไม่เป็นอกุศลเลย เพราะกุศล กับ อกุศล จะไม่เกิดร่วมกันอย่างเด็ดขาดตามความเป็นจริงของธรรม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 21 เม.ย. 2558

กุศลไกลกับอกุศล ท่านเปรีบบเหมือนฟ้ากับดิน ไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้ เกิดจากการสะสม เช่น ถ้าสะสมเมตตาบ่อยๆ กุศลจิตก็เกิดบ่อยๆ ไม่มีใครไปทำให้เมตตาเกิด แต่เกิดเพราะจิตและเจตสิกที่เป็นฝ่ายดีที่สะสม หรือ การฟังธรรมครั้งแรกฟังไม่เข้าใจ ฟังแล้วฟังอีกไม่ขาดการฟังการพิจารณาก็เป็นเหตุให้ปัญญาเจริญขึ้น จะบังคับให้ปัญญาเกิดเร็วๆ ไม่ได้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pdharma
วันที่ 21 เม.ย. 2558

จากคำถามที่ว่า "พุทธองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อเหตุอันใด เพราะทุกคนก็เป็นธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วจะฟังธรรมแล้วค่อยๆ รู้ได้อย่างไร..เพราะการฟังธรรมแล้วค่อยๆ รู้ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่บังคับไม่ได้เช่นกัน"

แม้ยังไม่เข้าใจพระธรรมโดยละเอียด ลึกซึ่ง แต่ใคร่ขอร่วมสนทนาดังนี้
๑. ทรงแสดงธรรมเพื่อเหตุอันใด เพราะทุกคนก็เป็นธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้?
- จากพุทธดำริภายหลังตรัสรู้ที่ว่าจะไม่ประกาศธรรมที่ทรงบรรลุ และจากที่สหัมบดีพรหมทูลให้ทรงแสดงธรรมนั้น กล่าวได้ว่า พระองค์ทรงแสดงธรรมด้วยพระมหากรุณาคุณเพื่อให้สัตว์ผู้มีกิเลสมากหรือน้อยก็ตาม เมื่อได้ฟังพระธรรม จะได้มีโอกาสออกจากทุกข์ สลัดทิ้งสภาพที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ (อ่าน อุปธิ) สิ้นตัณหา ออกจากวัฏสงสาร โดยแสดงให้เห็นถึงปัจจัยแห่งธรรมทั้งหลายและให้เห็นธรรมที่สงบสังขารทั้งปวง (นิพพาน)
- ความเข้าใจว่าเป็นเพียงธรรม บังคับบัญชาไม่ได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูก อันจะนำไปสู่การละ คลาย จากความยึดถือว่า นี่เป็นเรา นั่นเป็นเรา นี่เป็นของเรา คือ ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา
- เมื่อทุกคนก็เป็นธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้ การสะสมมาของแต่ละบุคคลอันประกอบด้วย นาม รูป นั้นจึงเป็นปัจจัยให้เข้าใจพระธรรมได้มากหรือน้อย ตามแต่กำลังปัจจัยที่สะสมมา บังคับบัญชาให้เข้าใจทันทีไม่ได้ บังคับบัญชาให้เข้าใจเหมือนๆ กันไม่ได้

๒. ฟังธรรมแล้วค่อยๆ รู้ได้อย่างไร..เพราะการฟังธรรมแล้วค่อยๆ รู้ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่บังคับไม่ได้เช่นกัน?
- ค่อยๆ รู้ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่บังคับไม่ได้นั้น แสดงถึงปัญญาที่ค่อยๆ เกิดขึ้นเป็นลำดับจากการฟัง ปัญญาจะเกิดมากน้อย ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ขึ้นอยู่กับการสะสม สะสมมาน้อย ปัญญาก็เกิดยาก สะสมมามาก ปัญญาก็เกิดได้ง่าย ผู้รู้นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราที่ไปรู้ แต่เป็นปัญญาที่รู้

[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 419-420
[๓๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความดำริว่า ธรรมที่เราได้
บรรลุนี้ลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ประณีต หยั่งไม่ได้
ด้วยความตรึก ละเอียด รู้ได้แต่บัณฑิต ส่วนหมู่สัตว์นี้เป็นผู้ยินดีเพลิดเพลิน
ใจในอาลัย ยากที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาทที่เป็นปัจจัยแห่งธรรมเหล่านี้ได้ และ
ยากที่จะเห็นธรรมที่สงบสังขารทั้งปวง สลัดอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็น
ที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกจากตัณหา ก็ถ้าเราพึงแสดงธรรม และคนอื่น
ไม่รู้ทั่วถึงธรรมของเรา เราก็จะลำบากเหน็ดเหนื่อยเปล่า....

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Patchanon
วันที่ 22 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผู้มีความประมาท
วันที่ 22 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ms.pimpaka
วันที่ 22 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
azide
วันที่ 22 เม.ย. 2558

ขอขอบพระคุณที่ให้ความรู้เป็นทาน

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
thilda
วันที่ 23 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 23 เม.ย. 2558

สภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุปัจจัยไม่ได้เลย ดังนั้นการฟังธรรม พิจารณาธรรมเพื่อความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงขณะนี้ เป็นการสะสมเหตุคือปัญญา ซึ่งจะเป็นเหตุปัจจัยให้สติระลึกตรงลักษณะสภาพธรรม ไม่มีเราที่จะทำให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้นได้เลย ไม่มีใครทำเห็นได้ ไม่มีใครทำได้ยินได้ ไม่มีใครทำให้สติเกิดได้เช่นกัน แต่สติเกิดขึ้นได้เพราะมีเหตุคือความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ รอบรู้ในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ....

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 23 เม.ย. 2558

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนา ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
j.jim
วันที่ 24 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
worrasak
วันที่ 27 เม.ย. 2558

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับสาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
nong
วันที่ 12 พ.ค. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
อัมพร1480
วันที่ 26 พ.ค. 2558
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
nakul63
วันที่ 2 มิ.ย. 2558

เดี๋ยวกุศล เดี๋ยวอกุศล แสดงอนิจจังอยู่ก็ไม่รู้ กุศลเกิด กุศลดับแสดงเกิดดับอยู่ก็ไม่รู้ กุศลจะเกิดก็เกิดเอง จะละ จะคลายก็เป็นเองแสดงอนัตตาอยู่ก็ไม่รู้ จิงจำเป็นต้องฟังผู้รู้ ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ต่อไป

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
Jarunee.A
วันที่ 24 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ