ทาน บุญ อานิสงส์

 
natural
วันที่  26 เม.ย. 2558
หมายเลข  26488
อ่าน  3,042

ขอรบกวนเรียนถามว่า

๑. (ให้) ทานต่างจาก (ทำ) บุญอย่างไรคะ

๒. อานิสงส์หมายความว่าอย่างไร เกี่ยวข้องกับวิบากจิต (ที่ดี) การให้ผลของกรรม (ที่ดี) หรือไม่อย่างไรคะ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกโดยตลอด และที่สำคัญ พระธรรมคำสอนทั้งหมด เป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อติดข้องต้องการ

บุญ เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นเครื่องชำระล้างจิตให้สะอาด ขณะใดที่กุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปในทาน บ้าง เป็นไปในศีลบ้าง เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ขณะนั้นเป็นบุญ ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะบุญ คือ กุศลจิต และ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เป็นธรรมที่มีจริง

ทาน คือ การให้ อันเป็นเจตนาสละ สิ่งใด สิ่งหนึ่ง ทั้งที่เป็นการสละ ที่เป็นวัตถุ รูปธรรม และเป็นการสละ ให้ สิ่งที่เป็นนามธรรม มีการให้ ปัญญา ความเข้าใจ เป็นต้น

คงต้องแยกคำว่า ให้ กับ ทาน ก่อนนะครับ คำว่า ให้ ไม่ได้หมายถึงจะต้องเป็นกุศลเสมอไป บางคนให้ เพื่อแลกเปลี่ยน ให้เพราะตั้งใจจะทำร้าย ขณะที่ให้ ไม่ใช่กุศล ไม่ได้มีเจตนาสละ ที่เป็นอโลภะ ที่เป็นกุศลจิต แต่เป็นการให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยจิตที่เป็นอกุศลครับ แต่การให้ที่เป็นกุศลก็มี เป็นทานครับ ดังนั้นเมื่อให้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นกุศลเสมอไปครับ นี่พูดถึงคำว่า ให้ แต่เมื่อกล่าวถึง คำว่าทาน คือเจตนาสละวัตถุ อันเป็นอโลภะ คือ ความไม่ติดข้องในขณะนั้น ด้วยจิตที่เป็นกุศล ขณะนั้นที่เป็นทาน จะต้องเป็นกุศลเสมอครับ

-วัตถุทาน การให้ การสละวัถตุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น เพราะบุคคลผู้ควรแก่การรับทานนั้นมีมาก ถ้ามีโอกาสที่จะสละวัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นแล้ว ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำ เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้ไม่เดือดร้อนในชีวิตประจำวัน

-อภัยทาน เป็นการให้ความไม่มีภัยแก่ผู้อื่น ไม่มีวัตถุสิ่งของที่จะให้ แต่ก็ควรพิจารณาว่า จะยากกว่าการสละวัตถุทานหรือไม่? เพราะเหตุว่าอภัยทาน เป็นการสละความเห็นแก่ตัว สละความรักตัวในการที่ไม่ให้อภัยในความผิดของคนอื่น หรือในความบกพร่องของคนอื่น ขณะที่ไม่อภัยให้บุคคลอื่น ขณะนั้นเป็นเพราะรักตัวเอง ที่ทำให้ไม่สามารถจะอภัยในความผิด หรือในความบกพร่องของคนอื่นได้ ลึกลงไปจริงๆ เป็นเพราะความรักตัว ความยึดมั่นในตัวตนนั่นเอง, การสละความเห็นแก่ตัวขั้นอภัยทาน ทำให้สละความคิดร้าย สละความแค้นเคือง สละความผูกโกรธ สละความไม่หวังดี สละความไม่เป็นมิตร สละความไม่เกื้อกูล สละความไม่มีน้ำใจ ต่อคนอื่น

-ธรรมทาน การให้ธรรมเป็นทาน คือ การให้ความรู้ ให้ความเข้าใจ ให้ความเห็นถูกในธรรมะ ชี้แนวทางที่ถูกต้องให้ จะเห็นได้ว่า กุศลธรรมทั้งหลายจะเจริญขึ้นได้ ก็เพราะธรรมทาน เป็นการเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก และเมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ความดีประการต่างๆ ก็จะเจริญขึ้นคล้อยตามความเห็นที่ถูกต้องด้วย

เพราะฉะนั้น การให้ทาน ก็เป็นส่วนหนึ่งของ บุญ เพราะ บุญมีหลายหลาย กว้างขวางกว่า ครับ

-คำว่า อานิสงส์ ก็มีความหมายเหมือนกัน ที่เป็นเรื่องของผล ที่เกิดจากเหตุ มีวิบากที่เป็นผลของกรรม เป็นต้น เช่น อานิสงส์ของทาน ย่อมนำสุขมาให้ คือ เกิดผล คือความสุขใจ และ เกิดสุขกาย เกิดผลในภพภูมิที่ดี เป็นต้น ครับ อานิสงส์ จึงมีความหมายถึง ผล เป็นสำคัญ ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 26 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ควรที่จะได้เข้าใจตั้งแต่ต้น ว่า บุญ เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นสภาพธรรมที่ชำระจิตให้สะอาดจากอกุศล บุญ อยู่ที่จิต ซึ่งหมายรวมถึงโสภณเจตสิก (สภาพธรรมฝ่ายดีที่เกิดร่วมกับจิต มี ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ เป็นต้น) ด้วย ถ้าหากไม่มีจิต และไม่มีโสภณเจตสิกแล้ว บุญก็เกิดไม่ได้ จิตเกิดขึ้นเป็นกุศลขณะใด ขณะนั้นเป็นบุญ เป็นการชำระจิตให้สะอาดจากอกุศล

บุญ เป็นสภาพธรรมที่ชำระจิตให้สะอาด (เพราะโดยปกติแล้วจิตสกปรกด้วยอำนาจของอกุศลธรรม) จากที่เป็นอกุศล ก็ค่อยๆ เป็นกุศลขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากขณะที่จิตเป็นกุศล เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมเจริญความสงบของจิต และเป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะไปทำบุญ เพราะบุญอยู่ที่สภาพจิต จิตเป็นกุศลเป็นบุญ เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตเป็นอกุศล ก็ไม่ใช่บุญ เมื่อเหตุมีผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้นตามควรแก่เหตุ ซึ่งก็คือธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยอีกเหมือนกัน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

ดังนั้น ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการขัดเกลากิเลส ก็จะไม่ละเลยโอกาสในการเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะถ้ากุศลไม่เกิด ก็จะเป็นโอกาสให้อกุศลเกิดพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น บุญไม่ได้มีเพียงการทานเท่านั้น ยังมีบุญอื่นๆ อีกแม้ไม่ได้ให้ทานก็เป็นบุญได้ เช่น การฟังพระธรรม การแสดงธรรม การอุทิศส่วนกุศล การอนุโมทนาในความดีของผู้อื่น ความอ่อนน้อมถ่อมตน การขวยขวายกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นต้น ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

บุญ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 26 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 26 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 27 เม.ย. 2558

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tanrat
วันที่ 27 เม.ย. 2558

แต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง จึงไม่ควรฟังเผิน ตรึก พิจารณา พระธรรมหากอบรมในการฟังแล้ว ย่อมละเอียดขึ้นๆ กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารย์

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Chalee
วันที่ 30 เม.ย. 2558
ขอบคุณค่ะ.เป็นบุญที่ได้อ่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 30 เม.ย. 2558

ทานคือการให้ การเสียสละ เช่น ให้อาหาร เสื้อผ้า ให้อภัยทาน และการให้ที่สูงสุดคือการให้ธรรมทาน ส่วนบุญหมายถึงกุศล กุศลหรือบุญก็มีถึง 10 อย่าง เช่น ทานก็เป็นหนึ่งในบุญ 10 อย่าง ทาน ศีล ภาวนา การให้ส่วนบุญ การอนุโมทนาบุญที่คนอื่นทำ การฟังธรรม การอ่อนน้อมถ่อมตน การช่วยเหลือสิ่งที่เป็นประโยชน์ การแสดงธรรม และ ทำความเห็นให้ตรงคือปัญญา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nong
วันที่ 1 พ.ค. 2558
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Jarunee.A
วันที่ 16 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ