ปัญญาสูตร - มีปัญญาพาให้เจริญ - o๒-o๕-๒๕๕๘
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.
ปัญญาสูตร
...จาก...
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔- หน้าที่ ๒๘๕
...นำสนทนาโดย...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔- หน้าที่ ๒๘๕
๔. ปัญญาสูตร
(ว่าด้วยขาดปัญญาพาให้เสื่อม มีปัญญาพาให้เจริญ)
[๒๑๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้วว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมที่สุด สัตว์เหล่านั้น ย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเดียว เมื่อตายไปแล้ว พึงหวังได้ทุคติ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม สัตว์เหล่านั้น ย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเทียวแล เมื่อตายไป พึงหวังได้สุคติ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า จงดูโลกพร้อมด้วยเทวโลก ผู้ตั้งมั่นลงแล้วในนามรูป เพราะความเสื่อมไปจากปัญญา โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมสำคัญ ว่า นามรูปนี้เป็นของจริง ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุด ในโลก ด้วยว่าปัญญานั้น ย่อมรู้ชัดโดยชอบ ซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อพระ สัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ มีปัญญาร่าเริง ผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด.
เนื้อความแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบปัญญาสูตรที่ ๔.
อรรถกถาปัญญาสูตร
ในปัญญาสูตรที่ ๔
พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สุปริหีนา ได้แก่ เสื่อมที่สุด
บทว่า เย อริยาย ปญฺญาย ปริหีนา ความว่า สัตว์เหล่าใด เสื่อมจากวิปัสสนาปัญญา และมรรคปัญญาอันเป็นอริยะ คือ บริสุทธิ์ เพราะตั้งอยู่ไกลจากกิเลสทั้งหลาย ด้วยการรู้ความเกิดและความเสื่อมของขันธ์ ๕ และด้วยการแทงตลอด อริยสัจจ์ ๔ สัตว์เหล่านั้นเสื่อม คือ เสื่อมมากเหลือเกินจากสมบัติอัน เป็นโลกิยะและโลกุตระ.
ถามว่า ก็สัตว์เหล่านั้นเป็นจำพวกอะไร
ตอบว่า เป็นความจริงดังนั้น สัตว์เหล่าใดประกอบด้วยเครื่องกั้น คือ กรรม สัตว์เหล่านั้นเสื่อม คือ พร่อง คือ เสื่อมมากโดยส่วนเดียว โดยความเป็นผู้แน่นอนต่อความเห็นผิด ดังที่ท่านกล่าวว่า ทุคฺคติปาฏิกงฺขา (ทุคติเป็นอันหวังได้) ดังนี้. แม้พร้อมเพรียงด้วยเครื่องกั้น คือ วิบาก ก็เสื่อม.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบในธรรมฝ่ายขาว ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิเว้นจากเครื่องกั้น ๓ อย่าง (กรรม กิเลส วิบาก) และเป็นผู้ประกอบด้วยกัมมัสสกตาญาณ ชื่อว่าไม่เสื่อม. คำที่เหลือ พึงทราบโดยทำนองอันมีนัยดังที่กล่าวแล้ว. ในคาถาทั้งหลายพึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้
บทว่า ปญฺญาย ความว่า เพราะเสื่อมไปแห่งญาณดังที่ได้กล่าวแล้ว. อนึ่ง การไม่ให้เกิดขึ้นแห่งญาณ ที่ควรให้เกิดนั่นแล เป็นความเสื่อมในบทนี้.
บทว่า นิวิฏฺฐํ นามรูปสฺมึ ได้แก่ ผู้ตั้งมั่นแล้ว คือหยั่งลงแล้วในนามรูป คือ ในอุปาทานขันธ์ ๕ ด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิโดยนัยมีอาทิว่า เอตํ มม นั่นของเราดังนี้ เพราะความเสื่อมไปจากปัญญานั้น. บทว่า อิทํ สจฺจนฺติ มญฺญติ ได้แก่ ย่อมสำคัญว่านามรูปนี้เท่านั้นเป็นของจริง อย่างอื่นเป็นโมฆะดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงธรรมฝ่ายเศร้าหมองในคาถาที่ ๑ อย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงประกาศอานุภาพแห่งปัญญาว่า กิเลสวัฏฏ์ ย่อมเป็นไปด้วยความมั่นหมายและยึดมั่นในนามรูป เพื่อมิให้เกิดอันใด การเข้าไปตัดวัฏฏะเพื่อให้เกิดอันนั้น ดังนี้ จึงตรัสคาถาว่า ปญฺญา หิ เสฏฺฐา โลกสฺมึ (ปัญญาแล ประเสริฐที่สุดในโลก) ดังนี้
ในบทเหล่านั้น บทว่า โลกสฺมึ ได้แก่ สังขารโลก. ในบรรดาสังขารทั้งหลาย ธรรมเช่นกับปัญญา ย่อมไม่มี เหมือนกับในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ผู้ที่เช่นกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่มี.
จริงอยู่ กุศลธรรมทั้งหลายมีปัญญาเป็นอย่างยิ่ง และธรรมอันไม่มีโทษ ทั้งปวง เป็นอันสำเสร็จเพราะความสำเร็จแห่งปัญญา สมดังที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า สมฺมาทิฏฺฐิสฺส สมฺมาสงฺกปฺโป โหติ ความดำริ ชอบย่อมมีแก่ผู้เห็นชอบ ดังนี้. ก็ปัญญาที่ประสงค์เอาในที่นี้ท่าน ยกย่องว่า ประเสริฐที่สุด. เพื่อ ทรงแสดงถึงความเป็นไปนั้น จึงตรัสว่า ยายํ นิพฺเพธคามินี ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลส ดังนี้เป็นต้น.
อธิบายความแห่งบทนั้นว่า ปัญญาใดอันให้ถึงความชำแรก กิเลสว่าปัญญานี้ถึงความชำแรก คือ ทำลายกิเลสมีกองโลภะเป็นต้น อันยังไม่เคยชำแรกยังไม่เคยทำลาย ย่อมไป ย่อมเป็นไป โยคาวจรย่อมรู้ ย่อมทำให้แจ้งนิพพานและอรหัตอันเป็นที่สิ้นไป เป็นที่สุดแห่งชาติ กล่าวคือ ความเกิดครั้งแรกแห่งขันธ์ทั้งหลายในหมู่สัตว์ ในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติและสัตตาวาสนั้นๆ และกรรมภพอันมีชาตินั้นเป็นนิมิต โดยชอบไม่วิปริต ด้วยปัญญาใดปัญญานี้เป็นมรรคปัญญาพร้อมด้วยวิปัสสนา ประเสริฐที่สุดในโลก ดังนี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงยกย่องพระขีณาสพ ผู้ถึงพร้อม แล้วด้วยบุญญานุภาพตามที่กล่าวแล้ว จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า เตสํ เทวามนุสฺสา จ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดังนี้.
อธิบายความแห่งบทนั้นว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมกระหยิ่ม รักใคร่ต่อพระขีณาสพเหล่านั้น ผู้ชื่อว่าเป็นสัมพุทธะด้วยการตรัสรู้อริยสัจ ๔ เพราะสำเร็จโสฬสกิจ มีปัญญาเป็นต้นในอริยสัจ ๔ ชื่อว่าผู้มีสติ เพราะมีสติไพบูลย์ ชื่อว่าผู้มีปัญญาร่าเริง ด้วยถึงความไพบูลย์แห่งปัญญา เพราะถอนความลุ่มหลงเสียได้โดยนัยดังกล่าวแล้ว หรือว่า ชื่อว่าผู้มี ปัญญาร่าเริง ความโสมนัส ความยินดี ความบันเทิง ตั้งแต่เป็นผู้ บริบูรณ์ด้วยศีลเป็นต้นในส่วนเบื้องต้น จนถึงทำนิพพานให้แจ้ง ชื่อว่าผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุดเพราะเป็นผู้สิ้นภวสังโยชน์ โดยประการทั้งปวง ย่อมปรารถนาเพื่อบรรลุความเป็นอย่างนั้นบ้างว่า บุญญานุภาพน่าอัศจรรย์ ถ้ากระไร แม้เราก็ควรเป็นผู้ข้ามพ้นทุกข์ ทั้งปวงเช่นนี้ได้บ้าง ดังนี้.
จบ อรรถกถาปัญญาสูตรที่ ๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
@ ข้อความโดยสรุป@
ปัญญาสูตร
(ว่าด้วยขาดปัญญาพาให้เสื่อม มีปัญญาพาให้เจริญ)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ผู้ที่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมที่สุด อยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน เมื่อตายไป ก็เข้าถึงทุคติ ส่วนผู้ที่ไม่เสื่อมจากอริยบุคคล ย่อมไม่เสื่อม อยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน เมื่อตายไปก็เข้าถึงสุคติ.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเิติมได้ที่นีครับ
ในพระไตรปิฎกมีกล่าวถึงคนพาลที่ได้บรรลุธรรมหรือไม่ครับ
เพราะไม่ได้ฟังธรรม ย่อมเสื่อมรอบ
ความเสื่อมและความเจริญของปัญญา
นาม รูป เท็จหรือไม่เท็จ จริงหรือไม่จริง?
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...