จะอบรมเจริญเมตตาได้อย่างไรค่ะ

 
Stamp
วันที่  27 เม.ย. 2558
หมายเลข  26492
อ่าน  1,278

ในการใช้ชีวิตในแต่ละวันส่วนมากเมื่อพบเจอผู้คนอื่นๆ หรือไม่ว่าจะเป็นคนในบ้านก็ตามส่วนมากจะเกิดความโกรธ หรือไม่พอใจ มากกว่า ส่วนการมีเมตตา ความเห็นใจ ความช่วยเหลือ แบ่งปันจะไม่ค่อยเกิดเลยค่ะ เราควรที่จะอบรมเจริญเมตตายังไงค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์ ... เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระผู้ฯ ทรงแสดง แม้แต่โลภะ เป็นข้าศึกใกล้ ก็เพื่อประโยชน์ คือ ให้ปฏิบัติ ให้สังเกต ให้พิจารณา เพื่อที่จะละคลายเหตุแห่งทุกข์ให้ลดน้อยลง เพราะว่าถ้าไม่รู้ ทุกคนก็เข้าใจว่า เมตตา แต่ความจริงเป็น โลภะ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งก็ต้องเป็นทุกข์เพราะ โลภะ แต่ถ้ารู้ว่า

โลภะ กับ เมตตา มีลักษณะที่ต่างกัน กุศลจิตก็ย่อมจะเจริญขึ้น โดยคลายความติด ความเสน่หา หรือ โลภะ

จนกระทั่งแม้สี่งนั้น จะมีอันเป็นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ขึ้นได้ นั่นคือลักษณะของเมตตาจริงๆ

ข้อความในอรรถคถา มีว่า

การเจริญขึ้นของเมตตานั้นเรี่มด้วย

"กัตตุกัมมะยะตา ฉันทะ"

คือความพอใจที่จะอบรมเจริญ เมตตา

นี่เป็นขั้นต้นค่ะ เพราะว่าทุกคนทราบว่า อโทสะ ก็เป็น โสภณธรรม เมตตาต่อ สัตว์ บุคคล ทั้งหลาย ก็เป็นธรรมฝ่ายดี แต่ว่าทำอย่างไรจึงจะ มีเมตตาเพี่มขึ้นมากๆ เพราะว่าถ้ายังโกรธใครอยู่ ก็แสดงว่า ขณะนั้นขาดเมตตา เพราะว่าถ้ายังโกรธ ชื่อว่า เมตตา เกิดไม่ได้ เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นการที่เมตตาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องเรี่มด้วย

"กัตตุกัมมะยะตา ฉันทะ"

ความพอใจที่จะอบรมเจริญเมตตา

เมื่อได้ฟังพระธรรมมามากแล้ว ก็เป็นผู้ที่น้อมประพฤติ ปฏิบัติตาม โดยเฉพาะในเรื่องของ เมตตา ถ้าอบรมเจริญแล้วก็ไม่ยากเลย ที่จะมีความเป็นมิตรกับทุกคน แล้วก็อภัยให้ ในสี่งซึ่งอาจจะขาดตกบกพร่องของบุคคลอื่น แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีฉันทะ มีความพอใจที่จะอบรมเจริญเมตตา ก็อาจจะ ขัดหู ขัดตา หรือว่าขุ่นเคือง ไม่พอใจใน สัตว์ บุคคล ทั้งหลายได้


เมตตา คือ ความเป็นมิตร ความหวังดี เป็นโสภณเจตสิก คือ อโทสะ การเจริญเมตตานั้นต้องขณะนี้มีความเป็นเพื่อน มีความหวังดีกับผู้อื่นหรือเปล่า เมตตาคือสภาพจิตที่เป็นเพื่อน ขณะนั้นเป็นกุศลจิต กายวาจาที่ไหวไปย่อมดีงาม ไม่ใช่ไปท่องแผ่เมตตา สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ อเวรา โหนตุ ... แผ่จนจบ แต่ขณะนั้นจิตเป็นกุศลหรือเปล่า จิตยังคงมีความไม่พอใจ ขุ่นเคืองใจต่อผู้อื่น แสดงว่ายังไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันการเจริญเมตตานั้นต้องเริ่มจากขณะนี้

ผู้ที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด เมื่อสะสมความมีเมตตา เมตตาก็เกิดได้ เพียงแต่เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจว่าทุกอย่างที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เป็นแต่เพียงสภาพธรรม การสะสมเมตตาต่างกับการอบรมเจริญ เมตตา แม้บุคคลอื่น ศาสนาอื่นก็สามารถให้ความเป็นเพื่อน ให้อภัย หวังดีแก่ผู้อื่นได้ นั่นเพราะเขาได้สะสม เมตตา มา เมตตาเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครจะจงใจให้เมตตาเกิดได้ ผู้ที่สะสมมาเมื่อมีเหตุให้เมตตาเกิด เมตตาก็เกิด เมตตาไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลใดๆ แต่ผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า เมตตาไม่ค่อยเกิดเลย ยากที่จะเมตตาผู้อื่นได้ แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม เห็นโทษของอกุศลในวันหนึ่งๆ ซึ่งมีมากเหลือเกิน ขณะโกรธ หรือขุ่นเคืองใจ จิตขณะนั้นขาดเมตตา ขณะนั้นทำร้ายตัวเองและยังจะเป็นเหตุให้ทำร้ายผู้อื่นด้วย การอบรมเจริญเมตตาในชีวิตประจำวันจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ให้ความเป็นเพื่อน พร้อมที่จะเกื้อกูลประโยชน์ และให้อภัยแก่ผู้อื่นได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดไม่ได้เลยถ้าไม่ค่อยๆ อบรมให้มีขึ้น หากชาตินี้ยังเป็นผู้ไม่มี เมตตา ถ้าไม่อบรมสะสมอุปนิสัยเสียชาตินี้ ชาติหน้าก็จะมีเมตตาไม่ได้เลย การอบรมเจริญเมตตาด้วยความเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นปัญญา เพราะศาสนาอื่นมีเมตตาแต่ด้วยความเป็นเรา ไม่ใช่ด้วยปัญญาความเข้าใจว่า แต่ละขณะของชีวิตเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้เลย และขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ควรที่จะกระทำความดี และอบรมความเข้าใจธรรม อบรมเจริญเมตตาให้มีเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน ความเข้าใจธรรม และเมตตาก็ไม่สูญหายไปไหน สามารถมีอัธยาศัยที่ดีงามเพิ่มขึ้นในภพชาติหน้าได้ ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เกื้อกูลอุปการะ เพื่อความเจริญขึ้น ของกุศลธรรมประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน (ไม่ใช่อกุศลธรรม) แม้แต่ในเรื่องของเมตตาก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี และเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ไม่เป็นพิษเป็นภัย แก่ใครทั้งสิ้น เป็นธรรมที่ควรมี ควรอบรมให้มีขึ้น แทนที่จะโกรธกัน หรือไม่พอใจกัน เมตตา เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าความโกรธ (ถ้าไม่ได้สะสมมาก็ไม่ง่าย) เพราะ โกรธ ต้องหาเรื่องที่จะต้องโกรธ ต้องย้อนคิดถึง เรื่องที่ทำให้ตนเองโกรธ แต่ถ้าเป็นเมตตาแล้ว ใจเบาสบาย ไม่หนักด้วยอำนาจของโทสะ

เมื่อเข้าใจพระธรรมมากขึ้น ย่อมทำให้เข้าใจ คนที่มีกิเลสด้วยกัน แทนที่จะโกรธ ก็ไม่โกรธ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้ ตอนหนึ่งว่า จากที่เคยเป็นผู้มากไปด้วยความโกรธ แล้วเป็นผู้ไม่โกรธ มีเงินทองมากสักเท่าไร ก็ไม่สามารถทำให้เป็นอย่างนี้ได้ แต่ปัญญาทำให้เป็นอย่างนี้ได้และเป็นไปได้จริงๆ

ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรมแล้ว นับวันจะมีแต่พอกพูนอกุศล ให้มีมากขึ้น พอกพูนความไม่รู้ต่อไป อีกนานแสนนาน ในสังสารวัฏฏ์ เมื่อไม่มีปัญญา ก็ย่อมไม่สามารถดับ หรือทำลายกิเลสใดๆ ได้เลย หนทางที่จะเป็นไป เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อดับกิเลสทั้งหลาย นั้น มีหนทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญาซึ่งพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ก็ได้ดำเนินตามหนทางนี้มาแล้ว ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

คำสั้นๆ ...เมตตา

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
natural
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 27 เม.ย. 2558

เมตตาเป็นกุศลไม่ทำให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อน ต้องเห็นคุณของการเจริญเมตตาก่อนและเห็นโทษของความโกรธไม่ดี ถ้าสะสมความโกรธบ่อยๆ ก็ทำให้ประทุษร้ายคนอื่นทางกาย ทางวาจา เหตุให้ไปอบายภูมิ ส่วนการเจริญเมตตาก็ตรงกันข้าม ถ้าเจริญเมตตาจนมีกำลังทำให้ไปเกิดในพรหมโลก สูงสุดบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 28 เม.ย. 2558

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพอย่างยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์ทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tanrat
วันที่ 28 เม.ย. 2558

นับเป็นเรื่องที่ยากมาก สะสมที่จะเห็นผิดมามากมาย เจริญล้วนแต่ความเห็นผิด แล้วพอมาฟังนิดหน่อยว่าเจริญเมตตาเป็นสิ่งที่ดี ก็อยากดี ขณะนั้นใจเป็นอย่างไร ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง45พรรษาหากง่ายก็ไม่ต้องถึง45พรรษา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Stamp
วันที่ 28 เม.ย. 2558

แล้วมีวิธีอบรมเจริญเมตตาไหมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Dechachot
วันที่ 28 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ทิศเบื้องขวา
วันที่ 30 เม.ย. 2558

มีความคิดที่จะช่วยเหลือและแบ่งปันความสุขเป็นเมตตาใช่ไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ปวีร์
วันที่ 30 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
nong
วันที่ 1 พ.ค. 2558
การเจริญปัญญาอบรมความเห็นถูก เป็นเหตุปัจจัยให้เจริญความเมตตาด้วย ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
peem
วันที่ 2 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
mild
วันที่ 5 พ.ค. 2558

จะอบรมเจริญเมตตาเกิดไม่ได้เลยถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรมมะที่ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปได้ แต่สังขารขันธ์ที่เกิดดับขณะนี้แหละที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เป็นไปในทางกุศลและทางอกุศล ถ้าฟังธรรมสะสมความรู้ถูกเห็นถูกไปเรื่อยๆ ไม่ท้อถอยเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควรมากกว่าการไม่รู้ แล้วปัญญานั่นแหละจะทำกิจของปัญญา เมตตาเป็นเรื่องของการสะสมทั้งหมด ถ้าสะสมมาดีแล้ว คิดไม่ดี ไม่เป็น คิดเบียดเบียนไม่เป็น คิดช่วยเหลือเป็นมิตร (เมตตา) เป็นคำตอบของคำถามคือ ต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อนเป็นอันดับแรก กล่าวคือต้องเข้าใจก่อนว่าเป็นธรรมะ อวิชาลดไม่ได้ถ้าไม่มีปัญญา ปัญญาก็เกิดไม่ได้ถ้ามีแต่อกุศล เพราะฉะนั้นจงเข้าใจก่อนว่าพระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้นไม่ง่าย ลึกซึ้งเป็นไปในเรื่องของการละอกุศล ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 5 พ.ค. 2558

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่าน ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Jarunee.A
วันที่ 21 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ