ชีวิตความเป็นอยู่ของเทพ
คนที่ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรมมะ เป็นค้น ผลของกรรมดีก็ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ เป็นเทพชั้นต่างๆ ตามผลของกรรม และบนสวรรค์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็น่าเพลิดเพลินจนบางครั้งทำให้เทวดาลืมรับประทานอาหารก็จุติจากเทวดามาเกิดในนรก เป็นต้น แต่เป็นเทวดาสบายกว่ามนุษย์ เพราะเทวดา ไม่ปวดฟัน ไม่ต้องอาบน้ำ เวลาหิวก็มีอาหารทิพย์ ไม่ต้องแสวงอาหารเหมือนมนุษย์
ลองพิจารณาดู ถามว่า ความเป็นอยู่ของเทพ ความเป็นอยู่ของมนุษย์ ความเป็นอยู่ ของสัตว์เดรัจฉาน เหมือนกันหรือต่างกันไหม? และถ้าต่างกัน ต่างกันอย่างไร เหมือนกัน เหมือนกันอย่างไร เรากำลังเข้าใจธัมมะ ชื่อก็บอกแล้วว่าธัมมะ เป็นสัตว์บุคลหรือ เปล่า หรือเป็นธัมมะ สภาพธัมมะเป็นอนัตตา หรือ เป็นอัตตา เป็นบุคคล เป็นสัตว์ บุคคลหรือเปล่า หรือเป็นอนัตตา ดังนั้น ความเป็นอยู่ของเทพ ความเป็นอยู่ของมนุษย์ ความเป็นอยู่ของสัตว์เดรัจฉาน เหมือนกันหรือต่างกันไหม?
ตอบว่า ความเป็นอยู่ไม่ ต่างกันเลย เพราะเหตุใด เพราะเป็นสภาพธัมมะทั้งนั้น ยกตัวอย่าง เทพ เห็นไหม มนุษย์เห็นไหม สัตว์เห็นไหม สภาพที่เห็นต่างกันไหม (ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ถูกเห็น) ก็ไม่ต่างกัน เพราะ เป็นสภาพเห็นเท่านั้น เมื่อพูดถึงในอภิธรรม แล้วก็ไม่มีอะไรต่างกันเลย มีแต่สภาพธัมมะเท่านั้น เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เป็นต้น แม้ความโกรธ ของ เทวดา กับ มนุษย์ ต่างกันไหม ก็ไม่ต่าง ลักษณะความโกรธ ก็คือลักษณะความโกรธ ไม่ต่างกันเลย ครับ
ในพระสูตรที่ยกมา กล่าวถึง การทำบุญ กับ พระอรหันต์ ทำให้กระผมเกิดโลภะที่อยากทำบุญ กับพระอรหันต์บ้าง ไม่ทราบว่าปัจจุบันนี้ จะไปทำบุญกับพระอรหันต์ ได้ที่วัดไหน หรือ สำนักไหน
ในอรรถกถาได้กล่าวถึงว่า ในยุคนี้ ไม่มีพระอรหันต์ อยากให้ มศพ. ยกข้อความนั้น มา เพื่อให้คุณcitta ได้ทราบด้วย ก็จะดีมาก ครับ
ถ้าไม่มีปัญญาระดับท่าน ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่แต่เพียงว่า คนนี้ บอกว่าเป็นและไม่เป็น ต้องเข้าใจหนทางที่สามารถเป็นพระอรหันต์ได้ ตรงนี้ซิ สำคัญ แต่ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ว่า เรื่องการอยากทำบุญกับพระอรหันต์ ซึ่งเป็น เรื่องของการตั้งจิตไว้ผิด เพราะเหตุใด เพราะต้องการบุญ ไม่ใช่เรื่องของการละ และยัง ปรารถนา วัฏฏะ ถึงแม้จะได้ทำบุญกับท่านจริงๆ แต่จิตขณะทำหวังอานิสงส์เป็นไปใน รูป เสียง กลิ่น ... หรือ วัฏฏะ ก็ไม่พ้นจากการเกิดเลย ก็ต้องได้รับทุกข์จากการเกิด ซึ่งตั้ง จิตไว้ ผิด ต่างกับคนที่ให้ทาน แม้ให้ข้าวเพียงกระบวยเดียว แต่ตั้งจิตไว้ชอบคือ เพื่อ สิ้นกิเลส จิตนั้นก็ตั้งไว้ชอบ เป็นสัมมาปฏิปทา ทางที่ถูก ก็จะเลือกว่าอยากเวียน ว่ายตายเกิดไป ตลอด หรือ จะพ้นจากสังสารวัฏฏ์เสียที ขอยก ข้อความในพระ ไตรปิฎก เรื่องการ ตั้งจิตไว้ชอบครับ และข้อความที่แสดงว่า พระอรหันต์ไม่มีในยุคนี้ แล้วครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่..
ว่าด้วยจิตที่ตั้งไว้ผิด [อรรถกถาปณิหิตอัจฉวรรคที่ ๕]
พระอรหันต์ ไม่มีในยุคนี้ [อรรถกถา สัมปสาทนียสูตร]
[เล่มที่ 9] พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 499
แต่คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความ แตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่ สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรม จักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้.
ต้องขออนุโมทนา คุณ "แล้วเจอกัน" ด้วยครับ ที่ยก ข้อ ความโดยตรงมาให้ ซึ่ง ความ หมายก็คือ ใน พันปีแรก ยังมี พระอรหันต์ ที่ทรงปฏิสัมภิทา (คือมีฤทธิ์ เช่น เหาะได้ ตา ทิพย์ หูทิพย์ เป็นต้น) ใน พันปีที่สอง ผู้มีคุณธรรมสูงสุด คือพระอรหันต์ทีเป็นสุกขวิปัส สกะ (คือ ไม่ทรงปฏิสัมภิทา) ใน พันปีที่สาม ตั้งแต่ พ.ศ. 2001-3000 (คือในยุคนี้) ผู้มีคุณธรรมสูงสุดเป็นเพียงพระอนาคามีบุคคล ในพันปีที่สี่ ผู้มีคุณธรรมสูงสุด คือ พระสกทาคามี ใน พันปีที่ห้า ผู้มีคุณธรรมสูงสุด คือ พระโสดาบัน หวังว่า คุณ citta89121 คงจะเข้าใจ และ คง ไม่ถามว่า พระอนาคามี อยู่ ที่ไหน อีกล่ะ ส่วน คุณ "แล้วเจอกัน" ก็ คงเจอกัน ที่ มูลนิธิ นะครับ
ขอขอบคุณ และอนุโมทนา กับคุณ "แล้วเจอกัน" และ คุณ "จิต89หรือ121" ด้วยครับ ก็คงไม่ถามหรอก ครับ ว่า พระอนาคามี และ พระโสดาบัน อยู่ที่ไหน เพราะ ผมขอกลับ ไปทำบุญ กับ พระอรหันต์ ที่บ้าน ดีกว่า (เพราะ บิดา มารดา เปรียบเหมือน พระอรหันต์ ของ ลูกๆ ) ผู้ ที่ ยัง มี บิดา มารดา อยู่ อย่าลืม ทำดี กับ ท่าน มากๆ นะครับ