ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๘
@ เริ่มจากธรรมคืออะไรก่อน แม้ในพระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาคก็ทรงเตือนพุทธบริษัททุกครั้งที่ไปเฝ้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ว่าจะเป็นในพระสูตรหรือว่าในพระอภิธรรม เพราะอะไร เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ทุกวัน แต่ว่าบางคนจะไม่ทราบว่านี่คือธรรม กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังคิดนึก ทุกขณะในชีวิตประจำวันเป็นธรรม เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เข้าใจธรรม แล้วจะใช้คำว่าปฏิบัติธรรมไม่ได้เลย ต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน
@ ความเจริญจริงๆ นั้น ไม่ใช่ความเจริญทางด้านวัตถุ ถ้าคนที่มีความเจริญทางด้านวัตถุมาก แต่มีกิเลสมาก จะไม่ใช้คำว่าอารยะ หรือ อริยะ (ผู้ประเสริฐ) เพราะฉะนั้นผู้ประเสริฐจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่ละคลายอกุศล แล้วก็มีความเจริญทางด้านจิตใจ จนถึงระดับที่เป็นพระอริยบุคคล คือ ผู้เจริญในธรรมจริงๆ
@ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ถ้าท่านผู้ฟังไม่รีบร้อน แล้วก็รู้ว่า กิเลสมีเยอะ แล้วก็จะต้องอาศัยศรัทธาการที่จะต้องฟังธรรมต่อไป แล้วก็เป็นผู้ที่จะขัดเกลา คือเริ่มมีความเห็นถูก แล้วก็ตั้งตนไว้ถูกในจุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อขัดเกลากิเลส ก็จะมีความใกล้ชิดต่อพระศาสนา เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่แท้จริง
@ ผู้ที่จะเห็นพระคุณของพระธรรมได้ ต้องเป็นผู้ที่เริ่มศึกษาพระธรรม
@ เกิดมาแล้วบางคนก็คงหวังมรดก อยากได้มรดกจากญาติพี่น้องเป็นทรัพย์สมบัติ เป็นอะไรต่างๆ แต่ติดตามไปไม่ได้เลย จะใช้ได้ก็คือประโยชน์ในชาตินี้เท่านั้นเอง ติดตามไปถึงชาติหน้าไม่ได้
@ ทุกคนมักจะคิดถึงความตายในลักษณะที่ว่า ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ อาจจะเป็นเย็นนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ถ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ ทำไมจะยังโกรธคนอื่นซึ่งเมื่อท่านตายแล้ว หมดสิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ และท่านจะไม่ได้พบกับบุคคลอื่นใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าแต่ละบุคคลก็เป็นเพียงจิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ท่านก็จะมีแต่กิเลสของท่านเองในความคิดของตัวเองเท่านั้น ที่จะทำให้ภพต่อไป ท่านจะเป็นผู้ที่ยังคงมีความผูกโกรธ มีการไม่ให้อภัยตามที่สะสมไว้ เพราะเหตุว่ายังไม่เห็นโทษ
@ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพื่อเกื้อกูลตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งกว่าจะได้ทรงแสดง ต้องบำเพ็ญบารมีที่จะทรงประสูติ และทรงแสวงหาทางที่จะได้ตรัสรู้หนทางที่จะทรงสามารถแสดงธรรมโดยละเอียด เพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัทให้เห็นประโยชน์ของกุศล และให้เห็นโทษของอกุศล
@ ผู้ที่ไม่โกรธ คือ พระอนาคามีบุคคล เพราะเหตุว่าท่านดับอนุสัยกิเลส คือ ปฏิฆานุสัย (กิเลสที่ละเอียด นอนเนื่องอยู่ในจิต คือ โทสะ) ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นแม้พระอริยบุคคล เรื่องโกรธเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่ว่าอย่าผูกโกรธ เรื่องไม่ชอบเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ชอบอย่างนั้น ไม่ชอบอย่างนี้ ไม่ชอบการกระทำหรือคำพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อย่าให้ถึงกับเกลียด เพราะเหตุว่านั่นเป็นความลึกของกิเลสซึ่งสะสมมากทีเดียวที่แสดงออก เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ไม่มีเหตุการณ์ที่จะทำให้ลักษณะอาการของอกุศลขั้นต่างๆ นั้นปรากฏ ก็ย่อมจะไม่รู้จักตัวเองว่า มีอกุศลมากมายหนาแน่นแค่ไหน แต่ถ้าเป็นผู้ที่โกรธ แต่ไม่พยาบาท อภัยได้ และไม่ผูกโกรธ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องของผู้ว่ายาก, ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ยอมจะอภัย และยังพอใจที่ยังโกรธอยู่ เป็นผู้ไม่น้อมที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม นั่นคือผู้ที่ว่ายาก
@ โกรธ แล้วก็ยังไม่ลืม เพราะฉะนั้นเมื่อคิดผูกโกรธอีก ก็แสดงให้เห็นว่ายังเป็นคนว่ายากที่ยังไม่เห็นโทษของความโกรธ
@ ตราบใดที่ยังมีอกุศลธรรมอยู่ ก็จะต้องเจริญกุศลทุกประการเพื่อที่จะละอกุศลธรรมนั้น
@ ผู้ที่ฉลาดย่อมเป็นผู้หากุศลของคนอื่นเพื่อที่จะอนุโมทนา และหาโทษของตนเองเพื่อที่จะได้ขัดเกลา แต่ถ้าตรงกันข้าม หากุศลของตนเองและหาโทษของคนอื่น ขณะที่หาโทษของคนอื่น อกุศลจิตก็เกิด และขณะที่หากุศลของตนเอง ก็อาจจะเกิดความทะนงตนหรือความสำคัญตนก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าโดยนัยกลับกัน เป็นผู้ที่ฉลาดจริงๆ หาโทษของตนเองว่ามีโทษอะไรบ้าง ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็น อาจจะไม่รู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่อาจจะรู้ดี และในขณะเดียวกัน ถ้ามีการเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นก็หากุศลของคนอื่นที่จะอนุโมทนา ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันๆ กุศลจิตย่อมเจริญ เพราะเหตุว่าอนุโมทนาในกุศลของคนอื่น และเห็นโทษของตนเองว่าเป็นโทษ และก็จะได้ขัดเกลาละคลายโทษนั้นยิ่งขึ้น
@ การที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้ ต้องเริ่มจากบุคคลซึ่งเป็นผู้ฟังพระธรรม คนที่ไม่เข้าใจพระธรรมหรือไม่ฟังพระธรรม ไม่ใช่ผู้ที่จะดำรงพระศาสนา แต่แม้กระนั้น ในขณะที่ฟังพระธรรมจะดำรงพระสัทธรรมไว้ได้อย่างไร ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมที่ได้ฟัง
@ ขณะใดที่เป็นกุศลเกิดขึ้น ไม่โกรธ หรือว่าไม่มีความคิดในทางที่ไม่ดีต่างๆ ขณะนั้นก็ให้ทราบว่า เป็นโยนิโสมนสิการ (ใส่ใจอย่างถูกต้องแยบคาย) เคยไหม? ที่กำลังจะโกรธ แล้วก็นึกขึ้นได้ นึกถึงพระธรรม นึกถึงความไม่มีประโยชน์ของความโกรธ ขณะนั้นให้ทราบว่า ที่ไม่โกรธนั้นเป็นกุศลจิตและเป็นโยนิโสมนสิการ แต่ว่าขณะใดที่กำลังจะโกรธ แล้วก็ยังโกรธ ระลึกเท่าไรก็ยังโกรธ ก็ให้ทราบว่าขณะนั้นเป็นอโยนิโสมนสิการ (ไม่ใส่ใจอย่างถูกต้องแยบคาย) ไม่มีใครจะไปบังคับ หรือไปทำโยนิโสมนสิการได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าความโกรธไม่ดี แต่เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดโกรธขึ้น ความโกรธที่เกิดนั้นก็เพราะอโยนิโสมนสิการ
@ เวลาที่กล่าวว่าใครดีใครชั่ว เพราะอะไร? เพราะจิตดีหรือจิตชั่ว ถ้าจิตดี ก็กล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี เพราะเหตุว่า กายก็ดี วาจาก็ดี ตามจิตที่ดี แต่ถ้าจิตไม่ดี จะกล่าวว่าคนนั้นดีได้ไหม? ไม่ได้
@ ในพระไตรปิฎกทั้งหมด จะเต็มไปด้วยบท พยัญชนะ พระธรรมเทศนา หาประมาณมิได้ในเรื่องของอกุศลธรรมและกุศลธรรมโดยละเอียด โดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศล เพื่อที่จะได้ละอกุศล และก็เพื่อที่จะได้เห็นประโยชน์ของกุศล เพื่อที่จะได้เจริญกุศลทุกประการ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมหลายนัย เพื่ออนุเคราะห์ให้เห็นประโยชน์ของกุศล และโทษของอกุศล
@ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะทรงแสดงกับใครในยุคนั้นสมัยนั้น ก็เป็นเสมือนว่าทรงแสดงกับแต่ละคนที่กำลังได้ฟังในยุคนี้สมัยนี้
@ ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น จึงจะละความติดข้องได้ เพราะได้รู้
@ ทุกครั้งที่ได้ฟังพระธรรม ฟังให้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรม
@ ทุกคนที่จากชาติก่อนมา ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ทุกอย่างที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ไม่กลับมาอีกเลย
@ ปัญญาจะเจริญขึ้น สูงสุดจนถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องมีการเริ่มต้นคือ เริ่มต้นที่การฟังพระธรรม
@ ฟังพระธรรมแล้ว ไปเข้าห้องปฏิบัติ แสดงว่าเป็นผู้ประมาทในการฟังพระธรรม
@ ฟังพระธรรม (มาตั้งนาน) เริ่มเห็นโทษของกิเลสบ้างหรือยัง?
@ เมื่อมีกิเลสมากๆ มีไหมที่จะไม่ทำอกุศลกรรม?
@ ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร แล้วไปปฏิบัติอะไร?
@ ใครบอกว่ามีทางลัด นั่นไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
@ เกิดมาเพื่อเป็นคนดี เท่าที่จะดีได้.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่าน
อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาใน
กุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา
ในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย
และ ขออนุโมทนา
ในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัยและวิทยากรทุกท่าน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
@ ผู้ที่จะเห็นพระคุณของพระธรรมได้ ต้องเป็นผู้ที่เริ่มศึกษาพระธรรม
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...