เข้าใจตามความสามารถที่ได้สะสมมา
การฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังว่าเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่มุ่งที่จะละกิเลส ละโลภะ ละโทสะ ไม่เดือดร้อนเมื่อมีความเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แม้อกุศลจิตเกิดก็ไม่เดือดร้อน เพราะเป็นธรรมที่เกิดขึ้น เพราะมียังเหตุปัจจัยให้เกิด บังคับบัญชาไม่ได้ ความเข้าใจก็ตามความสามารถที่ได้สะสมมา ไม่ใช่จะเข้าใจได้จนหมด เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง สิ่งที่ได้ฟังนั้นแสดงถึงความจริงที่มีจริงๆ ไม่ใช่ฟังเพื่อจำคำ ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่มุ่งจะละโลภะ โทสะ...
ถ้าฟังเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏก็จะค่อยๆ ละความไม่รู้และการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเรา ความเป็นเราที่เหนียวแน่นมาก เราที่จะละอกุศล เราที่จะมีเมตตา เราที่จะทำความดี... ก็ยังเป็นเรา ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็จะค่อยๆ คลายความเป็นเรา จนกระทั่งเป็นปัจจัยรู้ตรงสิ่งที่มีจริงขณะนี้ตรงตามที่ได้ฟังมา ไม่ถูกปิดบังด้วย โมหะคือ ความไม่รู้ เข้าใจความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่เดือดร้อน คิดก็เป็นธรรม ปัญญาสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้ แต่ความเป็นเรา ไม่สามารถรู้ได้
เดือดร้อนไหม? ถ้าสติยังไม่เกิดขณะนี้ หวังว่าเดือนหน้า ปีหน้า หรือชาติหน้า หรืออีก ๕๐๐ ชาติ สติเกิด แสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวตนเหนียวแน่นแค่ไหน ถ้าเป็นปัญญาไม่เดือดร้อน เพราะรู้ว่าเพราะเหตุมี ผลจึงมี เมื่อเหตุยังไม่พอ ความเข้าใจยังน้อยมาก สติปัฏฐานยังไม่เกิด ปัญญาไม่เดือดร้อน แต่ ไม่พัก ไม่เพียร ไม่พักด้วยอกุศล ไม่เพียรด้วยความเป็นเราที่จะให้สติปัฏฐานเกิด เป็นผู้ละเอียดอย่างยิ่งจึงสบายๆ ไม่ไปทำให้เดือดร้อนที่คิดจะทำ นั่นไม่สบายเลย ปัญญาไม่เคยทำให้เดือดร้อน เมื่อเหตุคือความเข้าใจมีมากพอ ผลก็ย่อมเกิดขึ้นว่า เป็นเพียงธรรม ไม่ใช่เรา
สบายๆ คือ เมื่อปัญญาเกิดย่อมไม่เดือดร้อน ไม่เดือดร้อนด้วยความไม่รู้
ฟังเข้าใจขณะนี้ตามความสามารถที่ได้สะสมมา เมื่อความเข้าใจมั่นคงขึ้นความเข้าใจนั้นเองน้อมไปสู่ความจริง ไม่ใช่เราน้อม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ..
"...สบายๆ คือ เมื่อปัญญาเกิด ย่อมไม่เดือดร้อน ไม่เดือดร้อน ด้วยความไม่รู้..."
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่เมตตา ด้วยครับ