ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๐๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๐๓
# ต้องเป็นผู้ที่กล้า และรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ถึงจะได้ประโยชน์จากความรู้นั้น ถ้าเห็นว่าตัวเองดีแล้วไม่มีทางที่จะต้องทำดีอะไรอีกต่อไป แต่เมื่อใดก็ตามที่รู้ว่าตัวเองไม่ดี เมื่อนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ว่าคนอื่นไม่สามารถที่จะละความไม่ดีนั้นได้ นอกจากปัญญาของตัวเอง
# ที่จริงแล้วกุศลกับอกุศล ไม่ได้ปนกัน อกุศลก็ต้องเป็นอกุศล จะปนกับกุศลไม่ได้และกุศลก็ต้องเป็นกุศล ปนกันไม่ได้
# ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” หมายความว่า ไม่เว้นเลย สติก็ต้องเป็นอนัตตาด้วย เพราะฉะนั้นถ้าใครแสดงหนทางว่า จะต้องทำอย่างนี้ จะต้องทำอย่างนั้น รู้เลยว่าผิด เพราะเหตุว่าไม่ใช่อนัตตา แต่เวลานี้ถ้าสติเกิด จะให้สติไประลึกตรงนั้นตรงนี้ได้ไหม? นั่นเหมือนกับจะใช้สติ ซึ่งใช้ไม่ได้ เพราะสติเกิดแล้วก็ดับ มีอายุที่สั้นมาก สติจะระลึกทางไหน นั่นก็คือสติเกิดแล้วก็ระลึกทางนั้น
# ทุกคนย่อมมีทางเดินของชีวิต ซึ่งมี ๒ ทาง คือ ทางหนึ่ง เลือกที่จะหมุนเข้าให้จมลึกอยู่ในปลักของสังสารวัฏฏ์ต่อไป หรือว่าเลือกที่จะหมุนออกจากเกลียวของสังสารวัฏฏ์ไปทีละเล็กทีละน้อย
# ผู้ที่สะสมการเจริญกุศลทุกประเภทโดยไม่ประมาท ก็ยังมองเห็นว่า ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอริยบุคคล อกุศลยังมีกำลังอยู่มากทีเดียว เพราะฉะนั้นเมื่ออกุศลยังมีกำลังอยู่มาก การฟังพระธรรมก็ฟังได้ไม่มากนัก วันหนึ่งๆ ก็จะฟังได้ไม่กี่ชั่วโมง เทียบกับเวลาของอกุศล เพราะฉะนั้นในเรื่องของเพียงการฟัง ก็จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่แล้วก็จะฟังเท่าที่กุศลจิตเกิด
# “เห็น” เป็นปรมัตถธรรม ไม่มีเจ้าของ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริงว่า ทั้งหมดที่เราเคยยึดถือว่า เป็นตัวเราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเป็นของจริง ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าใครยังไม่ประจักษ์อันนี้ ก็ไม่มีทาง ก็ยังเป็นเราอยู่ ไม่ว่าจะเห็นก็เรา ได้ยินก็เรา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นปรมัตถธรรม คือ เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ และไม่ต้องเรียกชื่ออะไรทั้งนั้น
# เมื่อมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นคล้ายๆ กัน ก็มีความเห็นคล้ายๆ กันอยู่เสมอทุกคน เพราะฉะนั้นธรรมมี ๒ อย่าง ความเข้าใจผิดก็เป็นธรรม คือ เป็นของจริง ความเข้าใจถูกก็เป็นธรรม คือ เป็นของจริง เพราะฉะนั้นความเข้าใจผิดย่อมมี ความเข้าใจถูกก็ย่อมมีทั้ง ๒ อย่าง แล้วเราจะไปเอาความเข้าใจผิดมาให้เป็นความเข้าใจถูก ใครทำได้? ในเมื่อเป็นเพียงสภาพธรรม
# ทุกคนมีความโน้มเอียงที่จะเข้าใจผิด ก็ไปสู่ความเข้าใจผิด คนที่มีความโน้มเอียงที่จะเข้าใจถูก ก็มาสู่ความเข้าใจถูก เป็นเรื่องของโลกที่เป็นอย่างนี้
# ถ้าเขาสะสมมาที่จะมีความโน้มเอียงที่จะเข้าใจผิด มีความพอใจในความเข้าใจผิด พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้
# ถ้าเป็นอกุศล ผลก็ต้องเป็นอกุศลวิบาก ถ้าเป็นกุศล ผลก็ต้องเป็นกุศลวิบาก ถ้าเป็นความเห็นว่า สิ่งที่ทำไปแล้วเป็นอกุศล ซึ่งจะต้องให้ผลแน่ๆ จะเอาน้ำมาล้างได้อย่างไร เพราะฉะนั้นที่ว่าผิดจะผิดเพราะอย่างนี้ คือ เราสามารถที่จะอธิบายชี้แจงให้ฟังได้ว่า เมื่อเหตุมีแล้ว ผลต้องมี แล้วเราจะเอาน้ำไปล้างผลออกไปเสีย ทั้งๆ ที่เหตุมีอยู่ที่จะให้เกิดผล จะเป็นไปได้อย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้
# ขณะใดที่ปัญญาไม่เกิด ถูกครอบงำด้วยอวิชชา ลักษณะของปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับอวิชชา เพราะครอบงำอวิชชาได้ในขณะที่ปัญญาเกิด
# ผู้มีปัญญา ไม่ได้ขออย่างอื่น แต่ขอฟังพระสัทธรรมซึ่งจะเป็นเหตุละชาติชราได้ เพราะสะสมมามากในการเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม
# ถ้าสะสมกุศล อบรมเจริญปัญญา ความเห็นถูกก็จะมีกำลังขึ้นได้
# เกิดกุศลแล้ว แม้เพียงมีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม ซึ่งเป็นขณะที่หาได้ยากในขณะนี้
# ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีใครได้ยินแม้แต่คำว่าธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้
# จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเข้าใจธรรม ก่อนตาย เพราะถ้าก่อนตาย ยังไม่เข้าใจธรรม ก็จะไม่รู้ต่อไป
#ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า ชีวิตไม่ได้มีสาระอะไรเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
# กล่าวได้ว่า ทั่วโลกมีการปฏิบัติ แต่เข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่า ปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติด้วยความไม่รู้ แล้วจะรู้อะไร ถ้าไม่เข้าใจถูกเห็นถูก ก็ไม่ต้องพูดถึงปฏิบัติ เพราะผิดแน่
# อกุศล มากๆ ทุกวัน กุศล น้อยนิด แล้วจะให้ปัญญาเจริญมากๆ ได้อย่างไร
# ทำไมถึงพูดเท็จ? เพราะไม่กล้าที่จะพูดคำจริง
# ถ้าเป็นคนมีความรู้ทางโลกมาก มีความสามารถมาก แต่เป็นคนเลว ปัญหาจะมากแค่ไหน
# มีชีวิตอยู่ยืนนาน แต่เป็นคนเลว เอาไหม?
# ความดีไม่นำมาซึ่งปัญหา
# ปัญญาจะไม่ไปทำชั่ว
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๐๒
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยครับ
บัณฑิตแสวงหาโทษของตนเองเพื่อแก้ไข คนพาลแสวงหาโทษของคนอื่นเพื่อติ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสภาพธรรม ก็หลงคิดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่เมื่อศึกษาแล้ว จึงรู้ว่า ชีวิตประจำวัน อกุศล เกิดมาก เกิดบ่อย เพราะความไม่รู้ความจริงปิดบังมืดมิดสนิท
ศึกษาพระธรรมจึงรู้ว่า อกุศลที่ควรขัดเกลาก่อนคือ ความไม่รู้
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบขอบพระคุณ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และวิทยากรมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาทุกท่านด้วยค่ะ
อนุโมทนาที่ได้ฟังคำจริงเพื่อเป็นผู้กล้าและรู้จักตนเอง ตามความเป็นจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้_สาธุค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคออรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบอนุโมทนาค่ะ
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” หมายความว่า ไม่เว้นเลย สติก็ต้องเป็นอนัตตา
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ต้องเป็นผู้ที่กล้า และรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ถึงจะได้ประโยชน์จากความรู้นั้น ถ้าเห็นว่าตัวเองดีแล้วไม่มีทางที่จะต้องทำดีอะไรอีกต่อไป แต่เมื่อใดก็ตามที่รู้ว่าตัวเองไม่ดี เมื่อนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ว่าคนอื่นไม่สามารถที่จะละความไม่ดีนั้นได้ นอกจากปัญญาของตัวเอง
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ