สงสัยเรื่องกิเลส

 
ชานนทรฺ
วันที่  6 ก.ย. 2558
หมายเลข  26981
อ่าน  1,321

อยากรู้ว่า การที่เรานี้อยากจะมีความสุขด้วยการปฏิบัติธรรมนั้น มันต่างกับการที่เราอยากได้สิ่งของ ความร่ำรวยอย่างไรครับ คือผมสงสัยว่าการที่เราอยากปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะไม่มีความทุกข์นั้น ความอยากนี้มันเป็นกิเลสหรือเปล่าครับ แบบว่าทำไมเราถึงยังไม่มีสมาธิ ทำไมเรายังดูจิตได้ไม่ดี ก็ทำให้เกิดทุกข์ ช่วยอธิบายทีครับ

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ชานนทรฺ
วันที่ 6 ก.ย. 2558

แบบว่าในเมื่อคำสอนให้ตัดเรื่องกิเลส แต่ในการที่เรา (อยาก) จะเดินตามพระพุทธเจ้า นั้น ความอยากก็ทำให้เกิดกิเลส ใช่หรือเปล่าครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 6 ก.ย. 2558

อนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

≠สมัยนี้รู้สึกว่าจะเป็นสมัยนิยมของการปฏิบัติธรรม เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีการชักชวนให้ปฏิบัติธรรม แต่การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แล้วก็จะปฏิบัติธรรมได้

≠ในพระไตรปิฎกมีทั้งสัมมามรรค หนทางที่ถูก และมิจฉามรรค หนทางที่ผิด มีทั้งสัมมาสมาธิ คือสมาธิที่ถูก และมิจฉาสมาธิ คือสมาธิที่ผิด เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งปฏิบัติโดยไม่รู้ เพราะเหตุว่าถ้าขณะนั้นไม่มีปัญญาต้องเป็นมิจฉาสมาธิ และต้องเป็นมิจฉามรรคด้วย
อ้างอิงจาก ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๐๗


ต้องตั้งต้นจริงๆ ว่า ปฏิบัติธรรม คือ อะไร? ปฏิบัติธรรม เป็นการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยสติและปัญญา เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เป็นเรื่องของความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความอยาก ขณะที่อยากจะปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม เพราะขณะนั้นเป็นอกุศล ไม่ว่าจะอยากในอะไร ลักษณะความอยากไม่เปลี่ยน เป็นโลภะ ความติดข้องต้องการ เป็นกิเลสประการหนึ่งที่เกิดประกอบกับจิตทำให้จิตเศร้าหมอง, เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาว่า เมื่อไม่ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่เข้าใจพระธรรม เมื่อไม่เข้าใจแล้ว จะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เพราะว่าในขณะนี้คือ ธรรมทั้งหมด ไม่ว่าทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก ก็เป็นธรรมทั้งหมด

ถ้าไม่ฟังพระธรรมซึ่งเป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ก็จะไม่มีความเข้าใจพอที่จะสติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะปฏิบัติโดยที่จะไม่ฟังพระธรรม ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย และสำหรับการฟังพระธรรม ก็จะต้องฟังไปจนกระทั่งเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เมื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมถูกต้องแล้ว การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นก็เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องคิดว่าจะปฏิบัติ

เมื่อได้ฟังพระธรรมจนกระทั่งเมื่อเข้าใจแล้วจะไม่ต้องคิดเลยว่าจะปฏิบัติ เพราะเหตุว่าแล้วแต่สติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เมื่อใด ขณะนั้นสติก็ปฏิบัติกิจของสติ เพราะว่าถ้าคิดที่จะปฏิบัติก็ยังเป็นตัวตน ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ในขณะที่คิดนั้นเป็นนามธรรมที่คิด ซึ่งเมื่อสติไม่ระลึก ก็ไม่สามารถที่จะขัดเกลาละคลายความเป็นตัวเราได้ แต่เมื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อนั้นก็ไม่ต้องคิดที่จะปฏิบัติ แล้วแต่สติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมขณะใด ก็ระลึกทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ไปเรื่อยๆ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ซึ่งจะต้องเป็นจริงอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะต้องคิดว่าจะปฏิบัติ

เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การฟังพระธรรม กาลสมัยนี้ ยังเป็นยุคที่พระธรรมยังดำรงอยู่ บุคคลผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร เผยแพร่พระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ยังมีอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่สะสมบุญมาแล้ว เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง จะได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาได้ในที่สุด เพราะการที่ปัญญาจะมีมาก จนเป็นเหตุให้มีการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นั้น ก็จะต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ อดทนที่จะฟังพระธรรมศึกษา พระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบต่อไป ครับ

..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นายประถาษไวยวิรี
วันที่ 6 ก.ย. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 6 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ชานนทรฺ
วันที่ 7 ก.ย. 2558

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
sacca
วันที่ 9 ก.ย. 2558

การละกิเลสก็ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นด้วยนะคะ ไม่ได้แปลว่าจะหมดกิเลสกันง่ายๆ ขั้นแรกที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม คือ ขั้นพระโสดาบัน ก็ไม่ได้ดับความอยากหรือดับโลภะจนหมดสิ้น พระโสดาบันท่านก็ยังมีโลภะและโทสะเพียงแต่เบาบางมากและไม่ทำให้ไปอบายภูมิ เพราะขั้นแรกคือละกิเลสที่เป็นความเห็นผิดก่อน ถ้าไม่เข้าใจในลักษณะสภาพธรรมซึ่งมีเหตุมาจากการฟังพระธรรม ก็ไม่มีเหตุที่สมควรแก่ผลที่จะละคลายความเห็นผิดว่ามีตัวตน

ขออนุโมทนาท่านผู้ถามและท่านอาจารย์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jirat wen
วันที่ 11 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Jarunee.A
วันที่ 27 ส.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ