ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๑
~ ขณะนี้ใครทำอะไรได้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เมื่อรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายต้องมีเหตุปัจจัย การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัสเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย จะไม่ทำอย่างอื่นเลย นอกจากเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
~ ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นจะสงบไม่ได้เลย
~ เราต้องยอมรับตามความเป็นจริงว่า เมื่อยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่เคยรู้ตัวว่า มีกิเลสมากแค่ไหน มีอกุศลจิตมากแค่ไหน ต่อเมื่อได้ศึกษาแล้วจึงรู้ว่า ขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นเว้นจิตที่เป็นวิบาก คือ เป็นผลของกรรมแล้ว เป็นอกุศลหมดเลย
~ ชอบดอกไม้สวยๆ เป็นอะไรไม่เคยคิดเลยว่า อกุศลแล้ว ตื่นขึ้นมาก็อาหารอร่อยไหม วันนี้จะทำอะไรบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยเรื่องของโลภะทั้งนั้น ความต้องการ ความปรารถนา ความติดข้อง เวลาที่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เป็นโทสะ ความโกรธหรือความไม่พอใจมีทุกระดับ ตั้งแต่เห็นฝุ่นนิดเดียว ขณะนั้นถ้าสังเกตความรู้สึก จะรู้ได้เลยว่า จิตใจไม่ผ่องใส ขณะนั้นก็เป็นอกุศลแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเห็นคนที่ไม่พอใจ ยิ่งกว่าเห็นฝุ่นเล็กๆ น้อยๆ ความไม่ชอบใจ ความรำคาญใจ กระวนกระวายใจก็ต้องเพิ่มขึ้น
~ มิตรหรือไมตรี คือ ความเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเห็นใคร แล้วก็มีความรู้สึกว่า เขาเป็นเพื่อนของเรา ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างประเทศ ต่างวัย ต่างความรู้ ต่างฐานะ แต่มีความเสมอกัน เข้ากันได้เหมือนเพื่อนสนิท เพราะเหตุว่าใครก็ตามที่จะเป็นเพื่อนกันแล้ว หมายความว่าคนนั้นต้องไม่มีความรู้สึกว่าเป็นเขาหรือเป็นเรา หรือว่ามีความต่างกัน เพราะฉะนั้นจิตใจในขณะที่กำลังมีเพื่อนพร้อมที่จะเกื้อกูลช่วยเหลือผู้หนึ่งผู้ใด ขณะนั้นคือเมตตา
~ ขณะที่มีเมตตา มีความเป็นเพื่อน ขณะนั้นเป็นกุศล แล้วถ้าเราเพิ่มความเมตตากับทุกๆ คนขึ้น ที่เราพบปะ นั่นคือเราอบรมเจริญความสงบของจิต ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปนั่งท่องภาวนาอยู่ที่มุมหนึ่งมุมใด แต่พอพ้นจากห้องนั้นมาแล้ว เห็นคนอื่นก็หมั่นไส้ หรือไม่ชอบ หรือรำคาญ ขณะนั้นที่เราไปนั่งท่องตั้ง ๒๐ นาที หรือครึ่งชั่วโมง จะไม่มีความหมายเลย เพราะเหตุว่าไม่เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
~ ขอให้ฟังพระธรรมจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยในชีวิตประจำวันทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ทำให้เราเริ่มเข้าใจขึ้น
~ ในภพหนึ่งชาติหนึ่ง ก็ขอให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้น นี่คือการสะสมของผู้ที่เป็นอริยสาวก ที่ท่านได้บรรลุอริยสัจจธรรมแล้ว ท่านบำเพ็ญบารมีกันมาถึงแสนกัปป์โดยฟังเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ ถ้าใครยังไม่ได้ศึกษา ยังไม่ได้ฟังเลยแล้วไปทำ ก็ต้องผิดแน่ๆ เพราะว่าปัญญายังไม่เกิด ไม่รู้อะไร แล้วจะทำได้อย่างไร กำลังเห็นเป็นของจริง แต่ไม่เคยรู้ว่า ไม่ใช่เราที่เห็น ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลรู้ว่าไม่ใช่เราแน่นอน กำลังได้ยินก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นอนัตตาไม่ใช่อยู่ในหนังสือ หรือไม่ใช่อยู่ที่อื่น แต่ทุกขณะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดับไป ให้พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
~ กิจของปัญญา คือ ละความไม่รู้
~ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของปัญญา ไม่ใช่เป็นศาสนาของความงมงายไร้เหตุผล เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรทั้งสิ้น เหตุกับผลต้องตรงกัน
~ ทุกชีวิตรักชีวิต ไม่มีใครอยากเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เวลาที่เราเจ็บ เราไม่รู้ตัวเลยว่า เพราะกรรมที่ได้ทำไว้ กรรมของเราเอง เราอาจจะคิดว่าเป็นเพราะคนอื่นทำให้ แต่ความจริงถ้าเราไม่เคยทำอกุศลกรรม การเบียดเบียนคนอื่นให้เจ็บปวด เราก็ไม่มีเหตุให้เราได้รับวิบากอันนั้น แต่เวลาที่เราทำสัตว์อื่น ทำไมเราไม่คิดถึงความเจ็บซึ่งสัตว์นั้นกำลังได้รับ และวันหนึ่งเราก็จะเหมือนกับสัตว์นั้น คือกำลังได้รับความเจ็บอย่างนั้น ซึ่งเป็นผลของการที่เราทำ
~ ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าในสมัยพระไตรปิฎกหรือในสมัยนี้ คนเราก็ต่างกันไป แต่ว่าทุกคนสามารถจะอบรมเจริญปัญญา แล้วก็ละคลายกิเลสได้ ไม่ควรที่จะท้อถอย หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตามความเป็นจริง ไม่รีบร้อน ไม่ฮวบฮาบ เพราะเหตุว่าเรามีอวิชชามากมายเหลือเกินในแสนโกฏิกัปป์ แล้ววันนี้เราจะให้หมด เป็นไปได้ไหม หรือว่าเดือนนี้ ปีนี้ ชาตินี้ เราจะดับกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย
~ การระลึกถึงคุณความดีของเทพ ไม่ว่าจะเป็นชั้นไหนก็ตาม อันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นโทษเลย ทำให้รู้สึกว่าความดีเป็นสิ่งที่ควรระลึกถึงเพื่อประพฤติปฏิบัติตามด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เขาทำดีก็ดี เป็นเรื่องของเขา แล้วเราก็ทำไม่ดีต่อไป อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์เลย เพราะฉะนั้นอนุสติ คือ การระลึกถึงคุณความดีแม้แต่ของเทวดา ก็เพื่อที่เราจะได้ทำความดีนั้น
~ ถ้าไม่มีปัญญา ไปทางอื่นก็หลงหมด คือ หลงทาง ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เลย
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกื้อกูลให้จากเป็นผู้มากไปด้วยอกุศล มากไปด้วยความไม่รู้ แล้วค่อยๆ รู้ขึ้น ละคลายความไม่รู้และอกุศลทั้งหลาย
~ ศึกษาธรรม เพราะมีจริงๆ ถ้าไม่ศึกษาไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย
~ ขณะใดที่เข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้นอวิชชา (ความไม่รู้) จะเกิดไม่ได้
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องละ
~ หนทางนี้เป็นหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานกว่าใครทั้งหมดในฐานะมหาสัตว์บารมีที่จะได้ตรัสรู้ความจริงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทั้งโลกหรือจักรวาล มีแต่คนไม่รู้ และถ้าพระองค์จะตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว แล้วคนอื่นๆ จะต้องจมอยู่ในมหาสมุทรของความไม่รู้อีกนานแสนนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นด้วยพระมหากรุณาก็ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะให้มีแต่ละคำ ที่เราได้ยิน ที่เราได้ฟัง ด้วยความเคารพ เพราะฉะนั้น พระไตรปิฎก ไม่ใช่เพียงสำหรับอ่าน แต่ต้องเข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้องโดยละเอียดยิ่ง โดยความเคารพ ที่จะไม่เปลี่ยน
~ มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีคำของบุคคลอื่นเป็นที่พึ่ง.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๐
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยครับ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรและผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ท่าน
กราบแทบเท้า บูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์บริหารวนเขตต์ เป็นอย่างสูง
กราบอนุโมทนา ขอบพระคุณกุศลวิริยะท่าน อ.คำปั่น เป็นอย่างยิ่งค่ะ
มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีคำของบุคคลอื่นเป็นที่พึ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ