ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๔

 
khampan.a
วันที่  27 ก.ย. 2558
หมายเลข  27031
อ่าน  1,651

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๔

~ ชีวิตของบรรพชิตกับชีวิตของคฤหัสถ์ ทั้งๆ ที่เป็นผู้อบรมเจริญปัญญา ก็จะเห็นได้ว่า ต่างๆ กันไปตามอัธยาศัย และสำหรับผู้เป็นคฤหัสถ์ ก็จะเกิดระลึกได้และเทียบเคียงกับชีวิตของท่านกับชีวิตของบรรพชิต ก็ยังพอที่จะเห็นกิเลสของตนเอง และพอที่จะรู้สึกได้ว่า ควรที่จะขัดเกลาแม้ในเพศของคฤหัสถ์ เมื่อไม่สามารถจะขัดเกลาในเพศของบรรพชิตได้

~ ขอให้พิจารณาดูชีวิตของทุกท่านในอดีตแสนโกฏิกัปป์ ไม่ใช่ท่านจะไม่เคยเกิดมาเลย เคยเกิดแล้วก็ตาย แล้วก็เกิดแล้วก็ตาย นับชาติไม่ถ้วนในแสนโกฏิกัปป์ แล้วผลคือ ปัญญาในชาตินี้มีแค่ไหน นี่เป็นการพิสูจน์การค่อยๆ เจริญเติบโตของปัญญา เพราะเหตุว่าถ้าไม่เคยฟังพระธรรมในอดีตมาเลย ไม่มีการที่จะสนใจฟังอีก เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ยากเกินไป แล้วก็ไม่สามารถจะรู้ได้เพียงในชาติเดียว เพราะฉะนั้นบางคนก็อาจจะท้อถอยด้วยการหวังในผล และถ้าเป็นผู้ที่ท้อถอยมาก ก็จะหันไปสู่การปฏิบัติอย่างอื่น เพราะเหตุว่าไม่ได้เป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผลจริงๆ ว่า ถ้าจะต้องประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ ก็จะต้องเริ่มระลึกศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้นั่นเอง

~ การที่ใครจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ก็เป็นสิ่งซึ่งต้องอาศัยกุศลกรรมในอดีตที่ได้สะสม ผันมาให้พบ ได้รับฟังพระธรรมอีก เพราะว่าหลายท่านหมุนเจอสถานีวิทยุรายการนี้ โดยที่ไม่มีใครแนะนำเลยนี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่อดีตกรรมที่สะสมมาแล้ว ก็คงจะไม่ฟังธรรมทางสถานีวิทยุ หรือถ้าฟังแล้วก็อาจจะไม่สนใจ แต่สำหรับท่านที่มีการสะสมมาแล้ว พอฟังท่านก็สนใจทันที รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และสามารถที่จะฟังพิจารณาศึกษาให้เข้าใจขึ้นได้

~ เป็นผู้ไม่ประมาทในการฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ ข้อสำคัญที่สุด คือ ฟังเพื่อเข้าใจ อันนี้คือปัญญาที่เป็นการอบรมสะสมจนกว่าปัญญาจะเพิ่มขึ้นได้จริงๆ แต่อย่าคิดที่จะไปทำอย่างอื่น โดยหวังว่าเมื่อทำอย่างนั้นแล้ว ปัญญาจะเกิด

~ สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า วันหนึ่งๆ ที่หลับไป แล้วจะตื่นขึ้นนั้น กิเลสประเภทไหนจะเกิดขึ้นมากน้อยประการใด ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้จริงๆ เพราะไม่มีใครหยั่งถึงการสะสมของอกุศลธรรมซึ่งแต่ละท่านเก็บสะสมสืบต่ออยู่ในจิต เพราะเหตุว่าเมื่อวานนี้จิตของแต่ละคนก็มีโลภะต่างๆ กัน มีชีวิตอย่างมีโทสะต่างๆ กัน มีความสำคัญตนต่างๆ กัน มากน้อยต่างกัน มีความอิสสา (ความริษยา) มากน้อยต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า เมื่อตื่นขึ้นแล้ววิบากประเภทไหนจะเกิด และเมื่อวิบากเกิดแล้ว กุศลจิตหรืออกุศลจิตประเภทไหนจะเกิด แต่สำหรับพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้การสะสมของกรรมและกิเลสของแต่ละบุคคล และสามารถที่จะรู้ด้วยว่า บุคคลใดสามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

~ ทุกคนมีกิเลสเป็นเหตุให้กระทำกรรม และกรรมก็จะเป็นปัจจัยให้วิบาก คือ ปฏิสนธิเกิดขึ้นต่อจากจุติ แล้วแต่ว่าจะปฏิสนธิในภูมิไหน ถ้าไม่ใช่ในสุคติภูมิ ไม่ใช่ในภูมิมนุษย์ เป็นต้น ก็ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญกุศลถึงการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้แม้ว่าจะมีสัตว์เดรัจฉานได้ยินเสียงแสดงธรรม เป็นข้อความที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจชัดเจน จนกระทั่งอบรมเจริญสติปัฏฐานที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แล้วเวลานี้ภูมิอื่นมองไม่เห็น ใช่ไหมคะ แต่อบายภูมิหนึ่งซึ่งเห็นแล้วก็มีมากกว่ามนุษย์ในโลกนี้ ก็คือสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิในภูมินั้น

~ ความตาย เป็นแต่เพียงการย้าย หรือเปลี่ยนจากการเป็นบุคคลซึ่งเคยเป็นในชาตินี้ เป็นบุคคลใหม่อีกบุคคลหนึ่ง ในภพหน้า ในชาติหน้า แล้วแต่ว่าบุญกรรม หรือว่าบาปกรรมจะทำให้ปฏิสนธิในภูมิไหน มีกำเนิดอย่างไร มีชาติ มีตระกูล มีลาภ มียศ มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ต่างๆ ไป แต่ไม่ผิดจากชาตินี้ เพราะก็ยังเป็นเรื่องของการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และการรู้อารมณ์ต่างๆ การคิดนึกทางใจนั่นเอง

~ ถ้าเขาไม่ได้ศึกษาพระธรรม อะไรๆ ก็ช่วยเขาไม่ได้ คำพูดของเราก็ช่วยเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาพระธรรมแล้วเข้าใจเท่านั้น จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร สิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล สิ่งใดเป็นมงคล และสิ่งใดเป็นมงคลตื่นข่าว ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามไม่เกื้อกูลที่จะให้ปัญญาเกิด และกุศลทั้งหลายเกิด ขณะนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ และการที่จะเกื้อกูลแต่ละบุคคล เกื้อกูลให้เขาฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ปัญญาของเขาเองจะทำให้อกุศลของเขาค่อยๆ ลดคลายลง

~ อันตรายประการหนึ่ง ซึ่งบางท่านอาจจะไม่ได้สังเกตเลย คือ สักการะและคำสรรเสริญ ซึ่งจริงๆ แล้วถ้ารับไม่ถูก ก็เพิ่มพูนกิเลสมากทีเดียว เพราะเหตุว่าทำให้เป็นผู้ติดในลาภสักการะและคำสรรเสริญ แต่ถ้าเป็นผู้มีตัตตรมัชฌัตตตา คือ เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะเป็นลาภ เป็นคำสรรเสริญ เป็นคำชม ก็เป็นเพียงชั่วขณะๆ เท่านั้นเอง และผู้ที่ได้รับคำชมหรือคำสรรเสริญ เป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า จริงอย่างที่เขาสรรเสริญหรือสักการะหรือเปล่า เพราะในขณะที่ขัดเกลาเป็นขณะหนึ่ง ขณะที่ยินดีในคำสรรเสริญ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลเสียแล้ว

~ สันดาน คือ การสืบต่อของจิต ไม่ว่าจะเป็นวิบากจิตก็ดี กุศลจิตก็ดี หรือว่าอเหตุกกิริยาจิตก็ดี ก็ยังมีกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ดับไป กิเลสเมื่อวานนี้มีเยอะไหม กิเลสเมื่อเช้านี้มีเยอะไหม เพราะไม่นับ เพราะไม่รู้สึกตัว จึงไม่ทราบว่ามากมายสักแค่ไหน แต่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เช่นกิเลสจะเป็นโลภะก็ดี โทสะก็ดี มานะก็ดี อิสสา (ความริษยา) ก็ดี เมื่อวานนี้ที่ดับไปแล้ว สะสมสืบต่ออยู่ในจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อกันทุกขณะ จนกว่าโลกุตตรปัญญาจะเกิดขึ้น จึงจะดับอนุสัยกิเลส

~ ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะมีการคิดวิจิตรต่างๆ และมีการกระทำที่วิจิตรต่างๆ ไปในทางอกุศลได้ ตามกำลังของการสะสมของอกุศลในอดีต จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะได้ทราบว่า การสะสมของแต่ละบุคคลนั้นยังเหนียวแน่นหนาแน่นกั้นที่จะให้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกิดหรือเปล่า อย่างเช่นพวกเดียรถีย์ที่มีความเห็นอื่นที่ได้ฟังพระธรรมแล้วไม่ยอมเลื่อมใสนั่นก็มี

~ คงจะไม่ลืมข้อความในอรรถกถาที่ว่า การศึกษาพระไตรปิฎกถ้าศึกษาผิดแล้วเป็นโทษ คือ ถ้าเข้าใจพระวินัยผิดก็จะทำให้กระทำสิ่งที่เป็นโทษ เพราะคิดว่าพระวินัยไม่ได้แสดงไว้อย่างนั้น เข้าใจในพระวินัยผิดไป และถ้าศึกษาพระสูตรโดยที่ไม่ได้พิจารณาโดยละเอียด ก็ทำให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ มีความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากสภาพธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง และถ้าศึกษาพระอภิธรรมผิด คือ คิดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ก็อุตส่าห์คิดพิจารณาค้นคว้าสงสัย ไม่ควรแก่การพิจารณา ก็จะทำให้เป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน

~ ผู้ใดก็ตามแม้ว่าจะได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็ต้องเป็นผู้พิจารณาตนเองโดยละเอียดว่า การฟังพระธรรมเพื่ออะไร ถ้าเพื่อที่จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง และเพื่อที่จะเห็นโทษของตนเอง อย่าลืมว่า ไม่ใช่จะเห็นความสามารถ เห็นความเก่ง เห็นความดี เห็นกุศลของตนเอง แต่ว่าพิจารณาเพื่อให้พระธรรมเป็นเหมือนกระจกเงาที่ใสที่ส่องให้เห็นกิเลสแม้ของตนเองอย่างละเอียด ผู้นั้นชื่อว่าได้ประโยชน์จากพระธรรม

~ เห็น ยังไม่ตาย ได้ยินยังไม่ตาย หลับสนิทยังไม่ตาย

~ เห็น เป็นเราหรือเปล่า? เห็น ไม่ใช่เรา เป็นธรรม

~ การฟังหรือการพิจารณาธรรมโดยเข้าใจจริงๆ จะทำให้รู้ว่า ทุกขณะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะไปทำ ไปเคี่ยวเข็ญหรือไปเร่งรัดอะไรได้ แต่ว่าสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยไม่ทำอย่างอื่น

~ เดี๋ยวนี้ ไม่รู้ เดี๋ยวนี้จึงฟังพระธรรมเพื่อจะได้รู้

~ เรื่องการฟังพระธรรม ไม่ใช่วันเดียว ไม่ใช่ครึ่งวัน แต่เป็นเรื่องที่จะต้องฟังจนตลอดชีวิต ถ้าเห็นประโยชน์แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ขาดการฟังพระธรรมไม่ได้

~ ธรรมที่ไม่ดี ใครจะไปเข้าใจว่าดี ก็ต้องผิด เป็นความเห็นผิดของผู้นั้น.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม...ครั้งที่ ๒๑๓

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 27 ก.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 27 ก.ย. 2558

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Boonyavee
วันที่ 27 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 27 ก.ย. 2558

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพอย่างยิ่ง

ขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นและขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 28 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Noparat
วันที่ 28 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
aurasa
วันที่ 28 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 28 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
อนุโมทนา
วันที่ 28 ก.ย. 2558

พระธรรมนั้น เข้าใจยากมากทั้งๆ ที่เกิดแล้วปรากฏกับสติบ้าง หลงลืมสติบ่อยมาก สาธุ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tanrat
วันที่ 29 ก.ย. 2558

ท่านผู้ที่กล่าวธรรมะ คือกล่าวสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ให้ได้พิจรณาตาม คำในบาลีว่า โยนิโสมนะสิการะ ผู้นั้นคือพระผู้มีพระภาคเจ้า คือผู้ที่สเด็จมาดีแล้ว เพื่ออนุเคราะห์เวไนสัตว์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nong
วันที่ 29 ก.ย. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Thanapolb
วันที่ 29 ก.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณและอนุโมทนาครับอ.คำปั่น กันการแบ่งปันธรรม ในปันธรรม-ปัญญ์ธรรม

และอนุโมทนาในกุศลจิตขิงทุกท่าน

...พระธรรม เป็นเหมือนกระจกเงาใส ที่ส่องให้เห็นกิเลสของตน

ส่องเห็นได้ละเอียดมากน้อยแค่ไหน ตามกำลังปัญญาของแต่ละท่าน...

ถูกต้องไหมครับอ.คำปั่น

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
khampan.a
วันที่ 29 ก.ย. 2558

ขออนุโมทนาครับอ.ธนพล ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 29 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
orawan.c
วันที่ 29 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
เมตตา
วันที่ 30 ก.ย. 2558

ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

พระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ