ชาวพุทธอยากได้บุญมากเกินไปหรือเปล่า

 
manomeng8@gmail
วันที่  5 ต.ค. 2558
หมายเลข  27055
อ่าน  1,091

ปัจจุบันชาวพุทธจำนวนมาก อยากได้บุญโดยคำชักชวนและชี้นำของพระสงฆ์และฆราวาส ในการสร้างวัตถุต่างๆ จำนวนมาก ทั้งในเชิงพาณิชย์และไม่ใช่พาณิชย์ เป็นการเพิ่มกิเลสให้ชาวพุทธ ซึ่งความจริงแก่นแท้ของศาสนาพุทธ คือหลักธรรมคำสอน ไม่ใช่วัตถุ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 5 ต.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ควรที่จะได้ตั้งต้นจริงๆ ว่า บุญ คือ อะไร?

บุญ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรม ขณะใดที่จิตปราศจากโลภะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ปราศจากกิเลสทั้งหลาย ขณะนั้นเป็นบุญ เป็นสภาพธรรมที่ชำระจิตให้สะอาด (เพราะโดยปกติแล้วจิตสกปรกด้วยเครื่องเศร้าหมองของจิต คือ กิเลสประการต่างๆ มากมาย) จากที่เป็นอกุศล ก็ค่อยๆ เป็นกุศลขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากขณะที่จิตเป็นกุศล เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมเจริญความสงบของจิต และเป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะไปทำบุญ เพราะบุญอยู่ที่สภาพจิต จิตเป็นกุศล เป็นบุญ ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตเป็นอกุศล ย่อมไม่ใช่บุญเลยแม้แต่น้อย

บุญ ย่อมเกิดขึ้น เจริญขึ้นในขณะที่จิตเป็นกุศล ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล หรือตรึกไปด้วยอกุศลวิตกประการต่างๆ เป็นไปกับความติดข้องต้องการหรือเป็นไปกับความโกรธ ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ รวมไปถึงในขณะที่นอนหลับ ขณะนั้นบุญไม่เจริญ และไม่ใช่บุญด้วย (ในขณะที่นอนหลับ ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล เกิดขึ้น โลกนี้ไม่ปรากฏ เพียงแต่เป็นจิตประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นทำกิจรักษาความเป็นบุคคลนี้ไว้เท่านั้น บุญจึงไม่เจริญในขณะที่นอนหลับ) แต่เมื่อใดที่สติเกิดระลึกได้เป็นไปในความดีประการต่างๆ ทั้งในเรื่องของทาน การให้วัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ในเรื่องของศีล การวิรัติงดเว้นจากทุจริตกรรม และการน้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ในเรื่องความสงบของจิต คือสงบจากอกุศลและในการอบรมเจริญปัญญา เมื่อนั้นบุญย่อมเจริญ ซึ่งไม่จำกัดเลย เพราะการกระทำบุญไม่ใช่มีแต่เฉพาะทานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มีถึง ๑๐ ประการด้วยกัน คือ

๑. ทาน การให้วัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

๒. ศีล ความประพฤติทางกาย ทางวาจา ที่เป็นกุศล ไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อน

๓. ภาวนา การอบรมจิตให้สงบจากอกุศล (สมถภาวนา) และการอบรมให้เกิดปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก (วิปัสสนาภาวนา)

๔. อปจายนะ การอ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม แสดงถึงความอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง

๕. เวยยาวัจจะ การขวนขวายกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

๖. ปัตติทาน การอุทิศส่วนกุศลให้บุคคลอื่นได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนาด้วย

๗. ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาพลอยชื่นชมยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแม้ตนเองจะไม่ได้กระทำบุญนั้นก็ตาม เป็นการชื่นชมในความดี เป็นความจริงที่ว่าผู้ชื่นชมในความดี จึงทำดี

๘. ธัมมเทศนา การแสดงธรรม กล่าวธรรม กล่าวในสิ่งที่มีจริงตามคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อประโยชน์แก่ผู้ต้องการฟัง

๙. ธัมมัสสวนะ การฟังธรรมฟังในสิ่งที่มีจริงที่เป็นวาจาสัจจะ (คำจริง) ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง

๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การกระทำความเห็นให้ตรงตามสภาพธรรมและเหตุผลของสภาพธรรมนั้นๆ

ดังนั้น การทำบุญ หรือการเจริญกุศลนั้น ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องไปที่วัดหรือจะต้องทำกับพระภิกษุเท่านั้น เพราะได้เข้าใจแล้วว่า บุญ คือ อะไร ขณะไหน สำหรับบุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์บุญ ซึ่งเป็นความดีประการต่างๆ อันจะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสของตนเองนั้น ก็จะไม่ละเลยโอกาสในการเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะถ้ากุศลไม่เกิด ก็จะเป็นโอกาสให้อกุศลเกิดพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ และควรที่จะได้พิจารณาว่า เกิดมาแล้ว ทุกคนต้องละจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน แต่จะจากไปพร้อมกับกิเลสที่มีมากๆ หรือจะจากไปพร้อมกับกุศลและปัญญาที่ได้อบรมเจริญในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่?

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

บุญคือกุศลจิต
คำว่า บุญ และ กุศล เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
บุญคือขณะจิตที่ดีงาม
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
thilda
วันที่ 8 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 10 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
manomeng8@gmail
วันที่ 16 ต.ค. 2558

ขอบคุณ สำหรับรายละเอียดของคำว่า "บุญ" ทำให้เข้าใจมากขึ้น และจะพยายามน้อมใจให้เป็นไปในทางกุศล ขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jarunee.A
วันที่ 16 ส.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ