ความเป็นปุถุชน และ ปัญญาขั้นการฟัง
ขอกราบเรียนถามอาจารย์ทุกท่านนะคะ
1. ความเป็นปุถุชนนั้น มีปรกติพอใจในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข (ในทางวัฏฏะ) หรือไม่คะ หรือว่าปุถุชนก็ละสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเป็นพระอริยะ และหากมีผู้ใดกล่าวว่า ตนนั้นไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สุข (ในทางวัฏฏะ) เป็นการแสดงถึงการไม่ใช่ปุถุชนหรือเปล่าคะ การกล่าวเช่นนี้ จัดเป็นการแสดงคุณของตนหรือไม่คะ
2. ปัญญาขั้นการฟังซึ่งเป็นขั้นต้น สามารถละคลายโมหะหรืออวิชชา ได้หรือไม่คะ หรือว่าเป็นเพียงการระงับไว้ การละคลายโมหะหรืออวิชชาในขั้นเริ่มต้นนี้ เป็นการละหรือขัดออก หรือว่าเพียงระงับไว้คะ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-ปุถุชน คือ ผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ผู้มักเป็นไปในอกุศล ผู้ยังมีการท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ สำหรับปุถุชนแล้ว เป็นธรรมดาจริงๆ ที่กิเลสจะเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ยังมีกิเลสอยู่ครบ โลภะก็ยังมี ที่ติดข้องยินดีพอใจในสิ่งต่างๆ มากบ้างน้อยบ้างตามการสะสมของแต่ละบุคคล แม้ความยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็มีเป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่สำหรับผู้ที่เห็นโทษ ก็สามารถขัดเกลาให้เบาบางได้ ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก แม้ว่าจะได้ในสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ ก็เข้าใจว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่หลงระเริงมัวเมา หรือ สามารถสละละในสิ่งที่น่าติดข้องเหล่านั้นได้ แต่จะบอกว่าเป็นพระอริยบุคคล ยังไม่ได้ เพราะปุถุชนยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้ เมื่อได้เหตุปัจจัยกิเลสก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เพราะพระอริยบุคคลคือผู้ที่ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสที่ท่านดับได้ และดับไปตามลำดับขั้นด้วย โดยที่พระโสดาบันดับความเห็นผิด ดับความสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับความริษา ได้ พระอนาคามีดับความติดข้องยินดีพอใจในกามคุณ (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ) และดับโทสะ ได้ และกิเลสใดๆ ที่เหลือที่ยังดับไม่ได้ ก็ดับได้หมดสิ้นเมื่อได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เช่น อวิชชา มานะ เป็นต้น เป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้
เป็นที่น่าพิจารณาว่า ใครก็ตามที่บอกว่าตนเองไม่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นต้น ก็เป็นเพียงการพูด เพราะการไม่ติด ไม่ใช่เพราะด้วยการพูดว่าไม่ติด แต่เป็นเรื่องของสภาพธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ขัดเกลาละคลาย และ การพูดอย่างนั้น มุ่งหวังอะไร? เพราะเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องที่หยั่งรากลึกมาก มุ่งลาภสักการะสรรเสริญได้ไหมที่กล่าวอย่างนั้น ไม่มีใครจะรู้สภาพจิตใจของผู้นั้น ได้ แต่โดยปกติของผู้ที่มีคุณความดี แล้ว ท่านก็จะปกปิดคุณความดีของตน อย่างเช่น พระอริยบุคคลทั้งหลาย ท่านจะปกปิดคุณความดีของท่าน และมีความประสงค์ที่จะให้บุคคลอื่นได้รู้ความจริงตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเหมือนอย่างที่ท่านได้รู้ได้เข้าใจ ครับ
-ปัญญาขั้นฟัง ไม่สามารถดับกิเลสได้ แต่ถ้าขาดปัญญาในขั้นการฟัง ก็ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญสมบูรณ์จนถึงกาละแห่งการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงดับกิเลสตามลำดับขั้นได้เลย เพราะฉะนั้น ปัญญาในขั้นการฟัง ก็ขัดเกลาความไม่รู้ที่ไม่เข้าใจได้ตามระดับขั้นของความเข้าใจในขั้นฟัง ไม่ใช่ว่าจะดับอวิชชาได้ แต่ขณะที่ปัญญาเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่นั้น อกุศลใดๆ พร้อมทั้งอวิชชา ด้วย ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในขณะนั้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าก่อนฟังพระธรรมไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พอเริ่มฟัง ก็เริ่มเข้าใจ และยิ่งเห็นประโยชน์ฟังต่อไป ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ สำคัญที่สุด คือ การไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน และ ตามความเป็นจริงแล้ว สะสมอวิชชา ความไม่รู้มานแสนนาน การที่จะดับอวิชชาได้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ครับ
ขอเชิญคลิกศึกษาเพิ่มเติมจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่นี่ครับ
ชื่อว่าปุถุชน ล้วนแต่เบือนหน้าหนีธรรมของพระอริยะ มีแต่ยึดมั่นอยู่ในธรรมต่ำๆ
ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกความเดือดร้อนต่างๆ ให้เดือดร้อนอยู่เป็นส่วนมาก
ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกโอฆะต่างๆ พัดไปเป็นส่วนมาก
ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า สร้างอภิสังขารต่างๆ เป็นส่วนมาก
ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ออกไปไม่ได้จากคติทั้งปวงเป็นส่วนมาก
ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า จำนวนมากคอยแต่จะมองดูหน้าศาสดา
ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ยังกิเลสมากมายให้เกิด
ปัญญาขั้นฟัง...ไม่สามารถทำอะไรกิเลสได้เลย !
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...