ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๔ -.-.-
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๔
~ ทุกเรื่องในพระไตรปิฏก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุคคลที่กระทำอกุศลกรรม ก็เป็นอนุสติเตือนให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) โลภะยังมี โทสะยังมี โมหะยังมี อิสสา (ความริษยา) ยังมี อกุศลธรรมอื่นยังมี วันหนึ่งจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านกระทำกรรมที่เป็นอกุศลกรรม ที่จะทำให้ไปสู่นรกขุมต่างๆ แล้วก็ได้รับความทุกข์ทรมาน
~ สำหรับเรื่องของพระสาวกทั้งหลายนี้ จะเห็นได้ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น บางท่านจะเป็นผู้ที่ยากจนขัดสนไร้ทรัพย์ เป็นคนค่อม เป็นโรคเรื้อน แต่ว่าถ้าท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่บรรลุคุณธรรมคือหมดกิเลส ท่านเหล่านั้นก็ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูงในคุณธรรมของท่าน ไม่ว่าอดีตท่านจะเป็นบุคคลใดก็ตาม นี่เป็นการที่แสดงให้เห็นว่าสำหรับพระพุทธศาสนานั้น จุดประสงค์คือการขัดเกลากิเลสให้หมดจดจึงจะเป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพยกย่อง
~ ถ้าเป็นผู้ที่เกิดในตระกูลสูงแต่เป็นผู้ที่มีกิเลสมาก เทวดาและพรหมทั้งหลายจะไปนมัสการประนมมืออัญชลีไหม? แต่ว่าบุคคลที่แม้จะเป็นผู้ที่เกิดในตระกูลต่ำ การงานต่ำ เป็นคนเทดอกไม้ แต่ว่าเมื่อหมดสิ้นกิเลส แม้แต่เทวดาและพรหมซึ่งกำเนิดสูงกว่ายังนมัสการแสดงความนอบน้อมในความที่เป็นผู้ทรงคุณนั้น นี่เป็นสิ่งที่ทุกท่านสามารถที่จะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากพระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านจะมีอาชีพใด มีการงานอย่างใด ถ้าท่านเป็นผู้ที่ละกิเลสได้ก็เป็นผู้ที่บุคคลอื่นบูชาได้
~ การได้ฟังพระธรรมครั้งแรกๆ ไม่มี ครั้งต่อๆ ไปก็มีไม่ได้ หรือว่าศรัทธาในพระผู้มีพระภาคครั้งแรกไม่มี ครั้งต่อๆ ไปก็มีไม่ได้
~ ทุกชีวิต ก็คือ การเกิดขึ้นของปรมัตถธรรม หรือ สภาพธรรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบกับจิต) รูป (สภาพที่ไม่รู้อะไร) ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้เลย และถ้าสติเกิดจริงๆ ระลึกจริงๆ ก็จะรู้ได้ทันทีว่า กิเลสหรืออกุศลธรรมเกิดขึ้นทำกิจของกิเลสและอกุศลธรรมนั้นๆ อยู่ตลอดเวลา ที่วิบากจิตหรือกุศลจิตไม่เกิด
~ เมื่อมีกาย มีวาจา มีการที่จะต้องกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้ากระทำในทางที่ถูกต้อง ขณะนั้นก็เป็นกุศล แต่ถ้าเพียงผิดนิดเดียว ถ้าไม่พิจารณาจะไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล
~ เมื่อเป็นอกุศลของตนเอง ตนเองก็ต้องเป็นผู้ได้รับโทษจากอกุศลของตน ซึ่งคนอื่นจะทำโทษให้กับบุคคลนั้นไม่ได้เลย นอกจากกิเลสของตนเอง
~ การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นวีระ (ผู้กล้า) ผู้สามารถ ผู้องอาจ ผู้แกล้วกล้า ที่จะรู้ความจริงของลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งไม่มีหนทางอื่นที่จะรู้ได้เลย นอกจากฟังเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้แน่นอน
~ ถ้าขาดการคบหาสมาคมกับพระธรรม คือ ขาดการฟังบ่อยๆ หรือขาดการอ่าน หรือขาดการสนทนาธรรม ในขณะนั้นชีวิตประจำวันทุกวัน วันทั้งวันโอกาสของกิเลสมีมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะได้ฟังพระธรรมหรือการพิจารณาธรรม หรือสนทนาธรรม เป็นแต่เพียงโอกาสที่สั้นและเล็กน้อยมาก ที่ขณะนั้นอกุศลไม่มีกำลังพอที่จะให้ไม่ฟัง แต่เวลาที่เกิดไม่ฟังหรือเกิดการสนใจน้อยลง จะเห็นได้ว่า ขณะนั้นเป็นการเปิดช่องให้กิเลสซึ่งมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ค่อยเพิ่มโอกาสที่จะมีกำลังขึ้นอีกจากการไม่ฟังธรรม จากการไม่พิจารณาธรรม จากการไม่สนทนาธรรม
~ สำหรับท่านที่คบหากับพระธรรมก็มีความสนใจในพระธรรมเพิ่มขึ้น แต่สำหรับท่านที่คบหากับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) ก็มีความยินดีติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นผู้ไม่ประมาทจริงๆ เพราะเหตุว่าถ้าลดโอกาสของกุศลลง และอกุศลที่มีกำลังอยู่แล้วก็จะมีกำลังเพิ่มขึ้นอีก ทุกๆ วันอกุศลสะสมไปที่จะมีกำลังเพิ่มขึ้น
~ เมื่อทราบว่า ยังไม่สามารถที่จะชนะกิเลสได้ ก็ขอเพียงฟัง ไม่ต้องทำอะไรมาก อย่าขาดการฟัง แต่ถ้ารู้ตัวเองว่า แม้แต่เพียงการฟังก็ชักจะไม่สนใจ หรือว่าไม่มีกำลังศรัทธาพอที่จะฟัง ขณะนั้นก็แสดงให้เห็นกำลังของการคบหาสมาคมกับอกุศลซึ่งมีกำลังเพิ่มขึ้นมหาศาล เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ จนแม้แต่การฟังก็ไม่ฟัง
~ ถ้าเห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรมจริงๆ ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับได้ฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าต้องตายแน่นอน แต่ว่าจะตายอย่างโง่ ไม่รู้อะไรเลยเหมือนเดิม หรือว่าตายไป โดยที่ได้เข้าใจธรรม
~ เพราะอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะน้อมน้อมอย่างสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือ พรหม ก็เคารพสักการะน้อมน้อมต่อพระองค์? เพราะพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งความจริงนี้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
~ ความจริง รู้เร็วเท่าไหร่ เป็นประโยชน์เท่านั้น จะโง่ (ไม่รู้,ไม่มีปัญญา) อยู่ทำไม เพราะเหตุว่า เกิดมา ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ กับ โอกาสที่จะได้ฟัง (พระธรรม) ได้เข้าใจขึ้น แล้วจะรั้งรอ รีรอ คอยอะไร? คอยที่จะมีความไม่รู้ไปเรื่อยๆ ในสังสารวัฏฏ์ หรือว่า การที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำจริง ไม่มาก วันหนึ่งๆ แต่ละคนก็จะเห็นได้ว่า ฟังพระธรรมน้อยหรือมาก เพราะอะไร?
~ คำเก่า คำเดิม แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เมื่อฟัง (พระธรรม) บ่อยๆ เนืองๆ ขาดการฟังพระธรรม ไม่ได้
~ ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม มืดสนิทด้วยความไม่รู้ความจริง
~ แต่ละคำของพระธรรมคำสอน ที่ได้ยินได้ฟัง มาจากพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๓
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
"...ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลจริงๆ ถ้าท่านเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไร จะไม่มีโทษภัยอะไรซึ่งเกิดเพราะกุศลของท่าน แต่ถ้าท่านจะได้รับโทษภัยต่างๆ ให้ทราบว่าไม่ใช่เพราะกุศลของท่าน แต่การที่ท่านได้รับโทษภัยนั้น เพราะอกุศลของท่านเอง..."
"ทำดี และ ศึกษาพระธรรม"
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่ง ครับ
คำเก่า คำเดิม แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เมื่อฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ขาดการฟังพระธรรมไม่ได้..
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ
~ การได้ฟังพระธรรมครั้งแรกๆ ไม่มี ครั้งต่อๆ ไปก็มีไม่ได้ หรือว่าศรัทธาในพระผู้มี
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
แจ่มแจ้งยิ่งขอรับ จากความเมตตาจากท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยการศึกษาตั้งแต่เบื้องต้น คือการฟังพระธรรม ก็ต้องเริ่มให้ถูกต้องว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิดจากเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วในแต่ละขณะ ซึ่งความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นนี้ จะนำไปในหนทางที่ถูกต้องในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริงต่อๆ ไป
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ สาธู ขอรับ