ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๕
~ ตราบใดที่กิเลสยังไม่ได้ดับ ก็จะมีปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปในวันหนึ่งๆ ตามการสะสมต่างๆ กัน แต่เมื่อปัญญาสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ดับกิเลสเหมือนกัน เท่ากัน คือ ถ้าเป็นพระโสดาบันบุคคลก็ดับความเห็นผิดทั้งหมด ไม่เกิดอีกเลย ดับวิจิกิจฉา ความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรม ไม่มีอีกเลย แต่ก่อนที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อแต่ละท่านยังมีกิเลสอยู่ ก็จะต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตประจำวันเป็นไปตามกิเลสที่สะสมมาต่างๆ กัน
~ เวลาที่ปัญญาเกิด สามารถจะรู้ สามารถเข้าใจสิ่งที่ปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล และเจริญยิ่งขึ้นจนกระทั่งรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
~ ผู้ที่เป็นสาวกก็ยังมีโอกาสได้ฟังพระธรรมโดยถ้วนทั่วที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อให้พิจารณาคลี่ปมของเส้นด้ายที่ยุ่งเหยิง จนไม่สามารถที่จะจับได้ว่า ตรงไหนเป็นเหตุ ตรงไหนเป็นตอนต้น ตรงไหนเป็นตอนปลาย นอกจากอาศัยการฟังพระธรรมและพิจารณาให้ถูกต้อง
~ ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีชีวิตประจำวันในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ในเรื่องโทษของกาม ในเรื่องอานิสงส์ของการออกจากกาม แต่ถ้าเผลอไม่ฟังพระธรรมเมื่อไร ก็เป็นไปตามอำนาจของกิเลสเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นถ้าได้ฟังบ่อยๆ แม้ในเรื่องเก่าๆ แม้ในเรื่องชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ก็เป็นการเตือนให้ระลึกได้ในการที่จะสะสมกุศลยิ่งขึ้น
~ การที่จะรู้พระพุทธศาสนาจริง มีหนทางเดียว คือ ต้องศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด รอบคอบ โดยที่ไม่ใช่เพียงแต่ฟังจากแต่ละบุคคล แต่ต้องศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฎก ผู้ที่ไม่ศึกษาพระธรรมแล้วคิดว่า จะเข้าใจพระธรรมได้โดยไม่ศึกษา ผู้นั้นก็เป็นผู้ประมาทพระปัญญาคุณของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงพระธรรม ว่า ไม่ต้องศึกษาก็เข้าใจได้
~ ถ้าพุทธบริษัทไม่ศึกษาพระธรรม และเอาพระธรรมเพียงเล็กน้อยมาเพิ่มเติมความเห็นของตนเองทั้งปริยัติและปฏิบัติ ก็จะเห็นได้ว่า ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจจริงๆ ในพระธรรม แต่ว่าเหตุใดจึงทำอย่างนั้น แสดงให้เห็นว่า การขโมยพระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น เพื่อใช้สอยลาภสักการะและการยกย่องสรรเสริญ ก็มี ด้วยเหตุนี้ทุกท่านจึงต้องเป็นผู้ตรงต่อพระธรรม และมีความจริงใจต่อการศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจพระธรรม และละคลายขัดเกลาอกุศลของตนเอง เพราะเหตุว่าทุกคนที่ศึกษาพระธรรมย่อมรู้ว่า ตนเองมีอกุศล ถ้าไม่มีอกุศล คงจะไม่ศึกษาพระธรรมแน่ แต่อกุศลที่คิดว่ารู้แล้ว ความจริงแล้วละเอียดมากกว่านั้นมากทีเดียว ซึ่งถ้าไม่พิจารณาโดยรอบคอบ ก็อาจจะไม่เห็นความละเอียด
~ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นสัจจธรรม เป็นความจริง สำหรับทุกท่านที่จะรู้จักตนเองว่า ท่านมีกุศลประเภทใด และมีอกุศลประเภทใด เพราะเหตุว่าบางท่านมักจะนึกถึงเรื่องเก่าๆ และไม่อภัย และก็เป็นอย่างนี้บ่อยๆ และบังคับตัวเองก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มีทางเดียว คือ อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ว่า แม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จนกว่าจะดับการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้จริงๆ มิฉะนั้นแล้วไม่มีหนทางอื่นเลย นอกจากการประจักษ์แจ้งปรมัตถสัจจะ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล สักลักษณะเดียว
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง โดยพยัญชนะต่างๆ ก็เพื่อให้ไม่ลืมในความเป็นจริงของธรรม แม้แต่ในเรื่องของโลภะ ความติดข้องต้องการ ยินดีพอใจ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งความจริงมากมายตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เพราะเหตุว่าวันหนึ่งๆ กุศลเกิดน้อยกว่าอกุศล และอกุศลประเภทโลภะก็มีปัจจัยที่จะเกิดอยู่ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
~ เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่าจิตที่ผ่องใสเป็นกุศลนั้นไม่เป็นโทษเป็นภัย เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ว่า ด้วยจิตที่ไม่เป็นโทษเป็นภัยเป็นเหตุ ย่อมจะไม่เป็นผลให้เกิดโทษภัยขึ้นได้ เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายมีวิบากที่เป็นสุข ไม่ใช่นำมาซึ่งวิบากที่เป็นทุกข์
~ ในชาติหนึ่งถ้ามีความเห็นผิดต่อไป ชาติต่อๆ ไปก็เห็นผิดต่อไป หันหลังให้พระสัทธรรม หันหลังให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทำลายคำสอนด้วย เพราะฉะนั้น สาวก คือ ผู้ที่ฟังพระธรรม ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่ทำทุกอย่างเพื่อละ และเพื่อประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อทำลายประโยชน์
~ มานะ (ความสำคัญตน) เป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรม ผู้ไม่มีมานะเลย คือ พระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ประเภทเดียว เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ถึงแม้ว่ายังมีมานะอยู่ก็จริง แต่การที่จะเข้าใจเรื่องของมานะขึ้น และเห็นความน่ารังเกียจของมานะ ก็จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้สะสมกุศลเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะลดคลายการสะสมของมานะให้เบาบางลง
~ การฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ทำให้เพิ่มพูนความเข้าใจในความไม่ใช่เรา
~ สิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่รู้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้ ก็จะไม่มีพระอริยสงฆ์สาวก
~ ตราบใดที่ยังมีกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ยังไม่พ้นจากกรรม (การกระทำที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง)
~ ยังดี ที่มีโอกาสได้ฟังความจริง
~ มีประโยชน์มากมายมหาศาลที่จะเกิดขึ้น จากการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) นี้เองที่ตั้งตนไว้ชอบในทางที่ถูกที่ควร ไม่ใช่เรา
~ ปัญญาจะไม่นำพาไปให้เกิดความทุกข์เดือดร้อน
~ ทำดี ทำไม? เพราะความไม่ดีทั้งหลาย ไม่สามารถทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ และถ้าความดีไม่เกิด ก็เป็นโอกาสของอกุศลที่จะเกิดขึ้น
~ ที่บอกว่า นับถือพระพุทธศาสนา นั้น เข้าใจพระพุทธศาสนาหรือเปล่า? หรือเป็นแต่เพียงบอกว่านับถือพระพุทธศาสนา? ต้องเป็นผู้ตรง
~ ถ้าจะรักษาพระพุทธศาสนา ก็คือ ศึกษาและเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าเข้าใจผิดก็ไม่ใช่ผู้ที่นับถือพระรัตนตรัย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์
~ เกิดมาในโลกนี้ ขณะไหนประเสริฐที่สุด? ขณะที่ได้ฟังพระธรรม และเข้าใจในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรทุกท่านและท่านผู้เกี่ยวข้องค่ะ
ยังดี ที่มีโอกาสได้ฟังความจริง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ