ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๕

 
khampan.a
วันที่  13 ธ.ค. 2558
หมายเลข  27300
อ่าน  3,086

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๕

~ ตราบใดที่กิเลสยังไม่ได้ดับ ก็จะมีปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปในวันหนึ่งๆ ตามการสะสมต่างๆ กัน แต่เมื่อปัญญาสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ดับกิเลสเหมือนกัน เท่ากัน คือ ถ้าเป็นพระโสดาบันบุคคลก็ดับความเห็นผิดทั้งหมด ไม่เกิดอีกเลย ดับวิจิกิจฉา ความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรม ไม่มีอีกเลย แต่ก่อนที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อแต่ละท่านยังมีกิเลสอยู่ ก็จะต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตประจำวันเป็นไปตามกิเลสที่สะสมมาต่างๆ กัน

~ เวลาที่ปัญญาเกิด สามารถจะรู้ สามารถเข้าใจสิ่งที่ปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล และเจริญยิ่งขึ้นจนกระทั่งรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

~ ผู้ที่เป็นสาวกก็ยังมีโอกาสได้ฟังพระธรรมโดยถ้วนทั่วที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อให้พิจารณาคลี่ปมของเส้นด้ายที่ยุ่งเหยิง จนไม่สามารถที่จะจับได้ว่า ตรงไหนเป็นเหตุ ตรงไหนเป็นตอนต้น ตรงไหนเป็นตอนปลาย นอกจากอาศัยการฟังพระธรรมและพิจารณาให้ถูกต้อง

~ ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีชีวิตประจำวันในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ในเรื่องโทษของกาม ในเรื่องอานิสงส์ของการออกจากกาม แต่ถ้าเผลอไม่ฟังพระธรรมเมื่อไร ก็เป็นไปตามอำนาจของกิเลสเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นถ้าได้ฟังบ่อยๆ แม้ในเรื่องเก่าๆ แม้ในเรื่องชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ก็เป็นการเตือนให้ระลึกได้ในการที่จะสะสมกุศลยิ่งขึ้น

~ การที่จะรู้พระพุทธศาสนาจริง มีหนทางเดียว คือ ต้องศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด รอบคอบ โดยที่ไม่ใช่เพียงแต่ฟังจากแต่ละบุคคล แต่ต้องศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฎก ผู้ที่ไม่ศึกษาพระธรรมแล้วคิดว่า จะเข้าใจพระธรรมได้โดยไม่ศึกษา ผู้นั้นก็เป็นผู้ประมาทพระปัญญาคุณของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงพระธรรม ว่า ไม่ต้องศึกษาก็เข้าใจได้

~ ถ้าพุทธบริษัทไม่ศึกษาพระธรรม และเอาพระธรรมเพียงเล็กน้อยมาเพิ่มเติมความเห็นของตนเองทั้งปริยัติและปฏิบัติ ก็จะเห็นได้ว่า ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจจริงๆ ในพระธรรม แต่ว่าเหตุใดจึงทำอย่างนั้น แสดงให้เห็นว่า การขโมยพระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น เพื่อใช้สอยลาภสักการะและการยกย่องสรรเสริญ ก็มี ด้วยเหตุนี้ทุกท่านจึงต้องเป็นผู้ตรงต่อพระธรรม และมีความจริงใจต่อการศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจพระธรรม และละคลายขัดเกลาอกุศลของตนเอง เพราะเหตุว่าทุกคนที่ศึกษาพระธรรมย่อมรู้ว่า ตนเองมีอกุศล ถ้าไม่มีอกุศล คงจะไม่ศึกษาพระธรรมแน่ แต่อกุศลที่คิดว่ารู้แล้ว ความจริงแล้วละเอียดมากกว่านั้นมากทีเดียว ซึ่งถ้าไม่พิจารณาโดยรอบคอบ ก็อาจจะไม่เห็นความละเอียด

~ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นสัจจธรรม เป็นความจริง สำหรับทุกท่านที่จะรู้จักตนเองว่า ท่านมีกุศลประเภทใด และมีอกุศลประเภทใด เพราะเหตุว่าบางท่านมักจะนึกถึงเรื่องเก่าๆ และไม่อภัย และก็เป็นอย่างนี้บ่อยๆ และบังคับตัวเองก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มีทางเดียว คือ อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ว่า แม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จนกว่าจะดับการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้จริงๆ มิฉะนั้นแล้วไม่มีหนทางอื่นเลย นอกจากการประจักษ์แจ้งปรมัตถสัจจะ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล สักลักษณะเดียว

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง โดยพยัญชนะต่างๆ ก็เพื่อให้ไม่ลืมในความเป็นจริงของธรรม แม้แต่ในเรื่องของโลภะ ความติดข้องต้องการ ยินดีพอใจ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งความจริงมากมายตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เพราะเหตุว่าวันหนึ่งๆ กุศลเกิดน้อยกว่าอกุศล และอกุศลประเภทโลภะก็มีปัจจัยที่จะเกิดอยู่ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

~ เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่าจิตที่ผ่องใสเป็นกุศลนั้นไม่เป็นโทษเป็นภัย เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ว่า ด้วยจิตที่ไม่เป็นโทษเป็นภัยเป็นเหตุ ย่อมจะไม่เป็นผลให้เกิดโทษภัยขึ้นได้ เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายมีวิบากที่เป็นสุข ไม่ใช่นำมาซึ่งวิบากที่เป็นทุกข์

~ ในชาติหนึ่งถ้ามีความเห็นผิดต่อไป ชาติต่อๆ ไปก็เห็นผิดต่อไป หันหลังให้พระสัทธรรม หันหลังให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทำลายคำสอนด้วย เพราะฉะนั้น สาวก คือ ผู้ที่ฟังพระธรรม ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่ทำทุกอย่างเพื่อละ และเพื่อประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อทำลายประโยชน์

~ มานะ (ความสำคัญตน) เป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรม ผู้ไม่มีมานะเลย คือ พระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ประเภทเดียว เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ถึงแม้ว่ายังมีมานะอยู่ก็จริง แต่การที่จะเข้าใจเรื่องของมานะขึ้น และเห็นความน่ารังเกียจของมานะ ก็จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้สะสมกุศลเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะลดคลายการสะสมของมานะให้เบาบางลง

~ การฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ทำให้เพิ่มพูนความเข้าใจในความไม่ใช่เรา

~ สิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่รู้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้ ก็จะไม่มีพระอริยสงฆ์สาวก

~ ตราบใดที่ยังมีกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ยังไม่พ้นจากกรรม (การกระทำที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง)

~ ยังดี ที่มีโอกาสได้ฟังความจริง

~ มีประโยชน์มากมายมหาศาลที่จะเกิดขึ้น จากการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

~ ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) นี้เองที่ตั้งตนไว้ชอบในทางที่ถูกที่ควร ไม่ใช่เรา

~ ปัญญาจะไม่นำพาไปให้เกิดความทุกข์เดือดร้อน

~ ทำดี ทำไม? เพราะความไม่ดีทั้งหลาย ไม่สามารถทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ และถ้าความดีไม่เกิด ก็เป็นโอกาสของอกุศลที่จะเกิดขึ้น

~ ที่บอกว่า นับถือพระพุทธศาสนา นั้น เข้าใจพระพุทธศาสนาหรือเปล่า? หรือเป็นแต่เพียงบอกว่านับถือพระพุทธศาสนา? ต้องเป็นผู้ตรง

~ ถ้าจะรักษาพระพุทธศาสนา ก็คือ ศึกษาและเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าเข้าใจผิดก็ไม่ใช่ผู้ที่นับถือพระรัตนตรัย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์

~ เกิดมาในโลกนี้ ขณะไหนประเสริฐที่สุด? ขณะที่ได้ฟังพระธรรม และเข้าใจในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๔

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 13 ธ.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 13 ธ.ค. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรทุกท่านและท่านผู้เกี่ยวข้องค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 13 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2558

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Boonyavee
วันที่ 13 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 13 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 13 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
thilda
วันที่ 13 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 13 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศีลของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wirat.k
วันที่ 14 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Noparat
วันที่ 14 ธ.ค. 2558

ยังดี ที่มีโอกาสได้ฟังความจริง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
siraya
วันที่ 14 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jaturong
วันที่ 14 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wannee.s
วันที่ 17 ธ.ค. 2558

การฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ทำให้เพิ่มพูนความเข้าใจในความไม่ใช่เรา

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
kukeart
วันที่ 21 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 7 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ