ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๗

 
khampan.a
วันที่  27 ธ.ค. 2558
หมายเลข  27326
อ่าน  2,745

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๗

~ พระธรรมทั้งหมดทั้ง ๓ ปิฎก เริ่มที่สภาพธรรมที่เป็นจริง คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าใครจะรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ถ้าผู้นั้นไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก ไม่ว่าจะเป็นคำสอนในศาสนาไหนทั้งหมดจะไม่มีอนัตตา อาจจะมีอย่างอื่น มีศีลธรรม มีอะไรก็ได้ แต่สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงธาตุแต่ละอย่าง สภาพธรรมแต่ละอย่าง คำสอนในศาสนาอื่นจะไม่มีเลย เพราะว่าเป็นสัจจธรรม ซึ่งจะต้องอาศัยการบำเพ็ญบารมีมามากและนานทีเดียวกว่าที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

~ ใครเห็นโทษของกิเลส อะไรเห็นโทษของกิเลส ก็ต้องปัญญา คำตอบก็อยู่ที่ปัญญา ก็ต้องเจริญปัญญาขึ้น เมื่อปัญญาเพิ่มขึ้นก็ต้องเห็นโทษของกิเลส แต่ถ้าปัญญายังไม่เกิด แล้วจะบอกว่าเห็นโทษของกิเลส ก็ยาก

~ ถ้าบุคคลนั้นศึกษาพระธรรมโดยผิดจุดประสงค์ อาจจะเพื่อความสำคัญตน เพื่อชื่อเสียง เพื่อลาภยศ หรือแม้เพียงเพื่อสักการะ หมายความว่า ธรรมที่ได้ฟังไม่ได้ไปชำระจิตใจของเขา เพราะว่าเขาตั้งใจไว้ผิดในการฟังธรรม ในการศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วก็ยิ่งมีความสำคัญตนขึ้น ถ้าสมมติว่าฟังแล้วเข้าใจธรรมจริงๆ คนนั้นจะลดอกุศลลงเอง เพราะเหตุว่าปัญญาเกิด

~ พระธรรมที่มีประโยชน์ต่อสัตว์โลก ก็เพราะทำให้สัตว์โลกที่ได้รับฟังพระธรรมเกิดปัญญาของบุคคลผู้ฟังเอง

~ จะรู้มากรู้น้อยอย่างไรก็ตาม เพื่อประโยชน์ คือ เป็นปัญญาที่จะขัดเกลาละคลายอกุศล เพราะอกุศล ไม่มีทางที่อย่างอื่นจะขัดเกลาหรือละคลายได้ นอกจากปัญญาอย่างเดียว

~ วันหนึ่งๆ อกุศลจะมากสักแค่ไหน แต่ขณะที่นอนหลับสนิทเหมือนไม่มีอกุศลเลย แต่พอตื่นจะรู้ได้ว่า ใครมี ใครไม่มีอกุศล คือ เป็นพระอรหันต์ตื่นขึ้น ไม่มีกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นปุถุชนตื่น ไม่พ้นจากกิเลส ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลาง เป็นปริยุฏฐานกิเลส หมายความถึงพัวพันกับสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสที่พัวพันอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) แต่ยังไม่มีกำลังถึงกับล่วงทุจริต ถ้าล่วงทุจริตก็เป็นกิเลสหยาบ

~ เห็นความต่างกันของผู้ที่เป็นคฤหัสถ์กับผู้ที่เป็นบรรพชิต ถ้าใครจะอบรมเจริญปัญญาในเพศของบรรพชิตซึ่งเป็นเพศสูง ต้องรู้ตัวว่า สามารถที่จะมีอัธยาศัยที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศนั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุว่านับตั้งแต่เวลาบวช เจตนาว่าคฤหัสถ์ไม่มี ชีวิตเดิมที่เคยเป็นคฤหัสถ์ทุกประการ ไม่มี บัญญัติว่าสมณะมีอยู่

~ สิ่งที่มีจริงนั้น ใครจะเรียกว่า ธรรม หรือไม่เรียกว่า ธรรม แต่ลักษณะสภาพนั้นก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมจนกระทั่งถึงการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพียงแต่คิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ว่าจะต้องศึกษาโดยละเอียดจริงๆ ตั้งแต่ขั้นต้นว่า ธรรมคืออะไร และจะปฏิบัติธรรมอะไร

~ เมื่อทุกคนเกิดมาก็เป็นธรรมทั้งนั้น ทุกคนกำลังเห็น ลองพิจารณาดูว่า ถ้าเข้าใจธรรมแล้วว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ขณะที่กำลังเห็นนี้เป็นธรรมหรือว่าเป็นเรา?

~ จะต้องอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งรับรองคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นคำสอนที่ได้พิสูจน์แล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เพียงเชื่อ แต่หมายความว่า เป็นสิ่งที่รับฟังแล้วไม่เชื่อทันที แต่ว่าพิจารณาศึกษาในเหตุผล จนกระทั่งประจักษ์แจ้งว่า คำสอนนั้นเป็นคำสอนที่ถูกต้อง

~ ผู้ที่เจริญจริงๆ ต้องเป็นผู้เจริญทางจิตใจ ทางกุศล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสรู้เป็นพระอริยเจ้า คือ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ทรงแสดงธรรมแล้ว สาวกทั้งหลายที่ได้อบรมเจริญบารมีมา ก็ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม คือ ธรรมที่เป็นความจริงที่ทำให้ผู้รู้แจ้งเป็นพระอริยบุคคล คือ เป็นผู้ประเสริฐ ถึงขั้นดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ได้ตามลำดับ

~ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีอะไรจะละคลายกิเลสได้เลย กิเลสไม่ได้อยู่ในหนังสือ กิเลสอยู่ที่การสะสมมา ตราบใดที่ยังไม่ได้ละ ก็มีปัจจัยที่จะให้เกิด เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมเพื่อรู้จักสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่สภาพนั้นมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

~ ชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกคนไม่พ้นจากโลภะ แต่สามารถจะเข้าใจโลภะขึ้นว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง นี่คือปัญญา ปัญญาไม่ใช่รู้อย่างอื่น แต่ปัญญาจะต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง โลภะคืออะไร โลภะก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวตน

~ วันหนึ่งๆ จะเห็นได้ถึงความต่างกันของขณะที่อวิชชาเกิดกับขณะที่ปัญญาเกิด ถ้าเป็นอวิชชา เป็นสภาพที่มืด ทำให้ไม่รู้ความจริง ไม่เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล และก็ไม่เห็นหนทางที่ถูกที่ชอบที่ควรจะกระทำ เพราะฉะนั้นก็ทำให้คิดก็คิดผิด ทำก็ทำผิด พูดก็พูดผิด แต่ว่าถ้าในขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล แล้วก็ยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นในขณะนั้นก็เป็นผู้ที่คิดถูก ทำถูก พูดถูก

~ ชีวิตประจำวันก็ควรที่จะได้พิจารณาถึงกุศลวิตกและอกุศลวิตกของตนเอง มิฉะนั้นแล้วก็จะเห็นแต่อกุศลของคนอื่น แทนที่จะกระทำกิจของตน ก็ไปคิดที่อยากให้คนอื่นหมดกิเลส โดยที่ลืมว่าในขณะนั้นจิตของตนเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล?

~ ให้ทานไปแล้ว แล้วก็รู้สึกว่าเราเป็นคนดีมากที่ให้ทาน และหวังผลว่าที่ให้ทาน จะทำให้เราเกิดบนสวรรค์ หรือมีรูปร่างสวยงาม มีทรัพย์สมบัติมากมาย ขณะนั้นสละกิเลสหรือเปล่า?

~ คนที่ว่าง่าย คือ พิจารณาเหตุผลในพระธรรม น้อมที่จะปฏิบัติตามโดยถูกต้อง โดยดี แต่ถ้าเป็นผู้ว่ายาก แม้ว่าพระธรรมจะทรงแสดงไว้โดยละเอียดเพียงใดก็ตาม ก็ไม่เป็นผู้ที่จะประพฤติน้อมโดยถูกต้อง นั่นก็เป็นผู้ว่ายาก

~ พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้ใครหลงงมงาย

~ ชาวพุทธ ต้องไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

~ นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ตรง คือ ฟังคำของพระองค์ ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่น เพราะคำของคนอื่น ไม่ทำให้เข้าใจความจริงในขณะนี้

~ จะสวดมนต์ข้ามปีหรือจะฟังพระธรรมให้เข้าใจ?

~ พระพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้คนอื่นเชื่อ แต่ทรงแสดงความจริง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดปัญญาเป็นของตนเอง เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง

~ คุณความดี ไม่เคยนำความทุกข์โทษภัยความเดือดร้อนใดๆ มาให้เลย

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๖

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 27 ธ.ค. 2558

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 27 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Boonyavee
วันที่ 27 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 27 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 28 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 28 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 28 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Noparat
วันที่ 28 ธ.ค. 2558

คุณความดี ไม่เคยนำความทุกข์โทษภัย ความเดือดร้อนใดๆ มาให้เลย

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 28 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jirat wen
วันที่ 28 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nong
วันที่ 29 ธ.ค. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
aurasa
วันที่ 29 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ปวีร์
วันที่ 30 ธ.ค. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
สุณี
วันที่ 30 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
kukeart
วันที่ 21 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 7 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
มังกรทอง
วันที่ 4 ก.ย. 2565

แจ่มแจ้งยิ่งในธรรม ในคำมีความเพียรที่จะไตร่ตรอง ในการฟัง จนเข้าใจว่าเห็น เกิดแล้วดับ ไม่ใช่เรา ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ