ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๘ ม.ค. ๒๕๕๙

 
khampan.a
วันที่  3 ม.ค. 2559
หมายเลข  27345
อ่าน  2,437

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๘

~ ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญเมตตายิ่งขึ้น อกุศลอื่นๆ ก็จะลดน้อยลง มานะ (ความสำคัญตน) ก็ย่อมจะเบาบางลงไป เพราะเห็นว่าในขณะใดที่มีความสำคัญตน ถือตน ในขณะนั้นไม่ได้เมตตาบุคคลนั้นเลย ถ้าเมตตาแล้ว ต้องไม่มีการสำคัญต

~ ต้องเห็นประโยชน์ของการฟังว่า “การเคารพในธรรม หมายความถึงการฟังด้วยความตั้งใจ” มีการแสดงไว้เลยว่า การเคารพในธรรมนั้นในขณะใด ถ้าเป็นในขณะที่ฟังด้วยความตั้งใจ นั่นคือการเคารพธรรม แต่ขณะใดก็ตามฟังแล้วไม่ตั้งใจ หรือไม่สนใจ ในขณะนั้นไม่ชื่อว่า เคารพธรรม

~ ถึงใครจะโกรธ ก็ไม่โกรธตอบ รู้จักให้อภัย เห็นใครกำลังโกรธ ในขณะนั้นจะไม่มีความรู้สึกขุ่นเคืองใจ หรือไม่โกรธตอบ แต่ให้อภัยคนที่กำลังโกรธ ความโกรธไม่ว่าจะเป็นของใคร ก็มีอาการที่ไม่สงบ ประทุษร้าย เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นคนที่กำลังโกรธจริงๆ เห็นอาการประทุษร้ายจิตใจที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เห็นโทษทันที เวลาที่เห็นความโกรธของบุคคลอื่น แล้วตัวเองเมื่อเห็นโทษอย่างนั้น ยังอยากจะโกรธเหมือนอย่างนั้นหรือ ในเมื่อกำลังเห็นอาการของคนโกรธ ของความโกรธ เพราะฉะนั้น เมตตาเกิดได้ในขณะนั้น ซึ่งควรเจริญจนกว่าจะเป็นพื้นของจิตใจ ซึ่งสามารถที่จะให้อภัยได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการกระทำที่ไม่เหมาะสมทางกาย หรือทางวาจาก็ตาม จะเจริญเมตตาอย่างนี้ไหม?

~ ธรรมทั้งหมดที่เป็นฝ่ายกุศลธรรมทั้งหมด เป็นห้วงน้ำที่ไม่มีเปือกตม เพราะสามารถที่จะชำระขัดล้างบาปธรรมซึ่งเป็นเหงื่อไคลและมลทิน (สิ่งสกปรกของจิต) ออกได้

~ ขณะใดที่ฆ่าคนอื่น ขณะนั้นอย่าลืมว่า ฆ่าตัวเองด้วย และฆ่าตัวเองก่อนด้วยอกุศลเจตนาที่จะฆ่าบุคคลอื่น เป็นบาปธรรมที่ประทุษร้ายบุคคลนั้น เป็นอกุศลธรรมที่ฆ่าบุคคลนั้น ในขณะที่เข้าใจว่า สามารถจะฆ่าบุคคลอื่นได้ ฉันใด เวลาที่คิดจะโกรธบุคคลอื่น ขณะนั้นก็เป็นอกุศลธรรมที่เบียดเบียนคนโกรธ หรือคนที่คิดอย่างนั้น

~ เวลาที่อกุศลเกิด ทุกคนเป็นผู้โง่เขลา ในขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น

~ ถ้าในระหว่างสหายทั้งหลาย ท่านเป็นผู้ที่เมตตาต่อสหายทั้งหลายจริงๆ กาย วาจาของท่านจะทำให้สหายของท่านรู้สึกสบายใจ รักใคร่ สนิทสนม คุ้นเคย เป็นกันเอง ไม่มีช่องว่าง ที่กั้นด้วยสกุล ทรัพย์ หรือชาติกำเนิดทั้งสิ้น

~ การที่ท่านจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ต้องอาศัยคุณธรรม เจริญกุศล ขัดเกลากิเลสทุกทาง แม้แต่เรื่องของทาน ก็ต้องเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส แม้แต่เรื่องของการฟังธรรม ก็ต้องเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส ข้อความในพระธรรมทั้งหมดจะไม่ส่งเสริมให้เกิดอกุศลจิต หรือว่าสะสมเพิ่มพูนอกุศลจิต

~ การเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด เป็นอกุศล ไม่ได้เกิดประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น


~ ที่ว่าเป็นพาลนั้นก็เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่สะสมความตระหนี่ สะสมอกุศลธรรม สะสมความติดใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในวัตถุในโภคทรัพย์ ถ้าในปัจจุบันชาติท่านสะสมอกุศลธรรม สะสมความตระหนี่ไว้มาก ชาติหน้าจะตระหนี่น้อยลงได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการสละการละก็ยากขึ้นด้วย

~ คงจะมีท่านผู้ฟังที่มีญาติมิตรสหายที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก แล้วก็สิ้นชีวิตลงโดยไม่ได้ใช้ทรัพย์สัมบัตินั้น เมื่อไม่ได้ให้ทรัพย์สมบัติ เมื่อไม่ได้ให้ทานในโลกนี้ ในโลกหน้าก็เอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้ แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่ขัดเกลาจิตใจ ละความตระหนี่ ท่านก็จะได้สะสมบุญ คือการขัดเกลาจิตใจที่เบาบางจากอกุศลธรรมให้น้อยลง ติดตามไปในโลกหน้าได้

~ ถ้าท่านมีทรัพย์มาก แต่ไม่ได้แจก ไม่ได้แบ่งให้ใครในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว ญาติพี่น้องจะเอาทรัพย์สมบัติข้าวของไปแวดล้อมวางไว้ใกล้ชิดสัก เท่าไร ก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาจำแนกแจกให้ว่า ของนี้จงเป็นของท่านผู้นี้ ของนี้จงเป็นของท่านผู้นี้ได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีโภคสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ แต่ไม่ได้แจก จำแนกให้กับใครเลย ก็ย่อมเหมือนคนตายที่ไม่สามารถที่จะแจกจำแนกทรัพย์สมบัติที่มีผู้เอามาวางแวดล้อมไว้ให้ได้

~ รู้ธรรมตามความเป็นจริง ถ้าโลภะ (ความติดข้อง) ก็ต้องเป็นโลภะ เราจะบอกว่าโลภะเป็นอโลภะ (ความไม่ติดข้อง) ไม่ได้ เมื่อเป็นอโลภะ เราก็ต้องบอกว่า นี่เป็นอโลภะ เราจะบอกว่าอโลภะเป็นโลภะไม่ได้ ธรรมนี่คือความตรง


~ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น ใครจะรู้หรือไม่รู้ ปรมัตถธรรมก็คือปรมัตถธรรม (สภาพธรรมที่มีจริง ใครๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้)

~ ธรรมมีอยู่ทุกแห่ง เพราะเหตุว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่คนก็ไม่รู้ว่า นั่นเป็นธรรม

~ มีหนทางนี้ทางเดียว คือ ฟังเรื่องสภาพธรรมให้เข้าใจ แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องทำ เพราะว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวตนจะไปทำ แต่เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งจนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นเป็นขั้นๆ

~ คิดทุกวัน และคิดมากๆ ด้วย แล้วไม่เคยรู้ความจริงว่า อกุศลจิต คิดไม่ดี

~ ฟังพระธรรมเพื่ออะไร ต้องรู้จุดประสงค์ว่าเพื่ออะไร เพื่อปัญญา ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จะไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเลยที่จะคิด ที่จะรู้ ที่จะเข้าใจธรรมได้ตามความเป็นจริง

~ ก่อนฟังพระธรรม โลกของแต่ละคนเป็นโลกมืดด้วยอวิชชา ไม่สามารถจะรู้ว่า สภาพธรรมจริงๆ เป็นอย่างไร และที่เราเคยคิดเคยเข้าใจนั้นเป็นเรื่องราวของสภาพธรรมทั้งนั้น เป็นสมมติ เป็นบัญญัติ เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เพราะมีจิต เจตสิก รูป จึงมีการยึดถือว่าเป็นเราที่กำลังเห็น ที่กำลังนั่ง ที่กำลังเป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ

~ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องกุศลธรรมไว้มาก และทรงแสดงชี้แจงเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมดไว้โดยละเอียด เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศล และเห็นคุณของการอบรมเจริญกุศล โดยประการที่จะทำให้ผู้ฟังได้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ มากๆ โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึ้น

~ จะไปโกรธเขาทำไม ไม่มีประโยชน์

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๒๗

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
mon-pat
วันที่ 3 ม.ค. 2559

มีหนทางนี้ทางเดียว คือ ฟังเรื่องสภาพธรรมให้เข้าใจ แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องทำ เพราะว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวตนจะไปทำ แต่เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งจนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นเป็นขั้นๆ ...

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Boonyavee
วันที่ 3 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 3 ม.ค. 2559

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์วิทยากรและท่านผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 3 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 3 ม.ค. 2559

สาธุ กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 3 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jirat wen
วันที่ 3 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
aurasa
วันที่ 4 ม.ค. 2559

มีหนทางนี้ทางเดียว คือ ฟังเรื่องสภาพธรรมให้เข้าใจ แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องทำ เพราะว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวตนจะไปทำ แต่เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งจนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นเป็นขั้นๆ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
siraya
วันที่ 4 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 4 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Noparat
วันที่ 4 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ปวีร์
วันที่ 6 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 7 ม.ค. 2559

กราบขอบพระคุณมากครับ ธรรมนี้มีประโยขน์มาก มีเพียงการฟังให้เข้าใจ แล้วไม่ต้องไปทำ แต่เป็นเรื่องของสังขารขันธ์จะปรุงแต่งจนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นไปเป็นขั้นๆ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
nong
วันที่ 8 ม.ค. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
rrebs10576
วันที่ 17 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 4 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
มังกรทอง
วันที่ 8 ก.ย. 2564

ถึงใครจะโกรธ ก็ไม่โกรธตอบ รู้จักให้อภัย เห็นใครกำลังโกรธ ในขณะนั้นจะไม่มีความรู้สึกขุ่นเคืองใจ หรือไม่โกรธตอบ แต่ให้อภัยคนที่กำลังโกรธ ความโกรธไม่ว่าจะเป็นของใคร ก็มีอาการที่ไม่สงบ ประทุษร้าย เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นคนที่กำลังโกรธจริงๆ เห็นอาการประทุษร้ายจิตใจที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เห็นโทษทันที น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ