ขอคำปรึกษาค่ะ ฟุ่งซ่านเรื่องของผู้อื่นทำไงดีค่ะ

 
Niranya
วันที่  31 ม.ค. 2550
หมายเลข  2748
อ่าน  1,087

ดิฉันมีเพื่อน ส่วนใหญ่เป็นน้องๆ เพราะอายุน้อยกว่า เขามุ่งมั่นเรื่อง ทาน ศีล ภาวนามาก เพื่อนบางคนกลัว นรก และอยากไปอยู่สบายในสวรรค์ เพราะในโลกมนุษย์เขารวยแต่ไม่พอใจในความรวยของตน และเห็นว่าสุขบนสวรรค์ ประณีตกว่า พอคุยเรื่องศีล 5 ก็บอกว่ายากทำไม่ได้หรอก ขอทำบุญมากๆ จะได้พ้นนรก พอคุยเรื่อง ธรรมะ (ปัญญา) เขาบอกว่า นั่งสมาธิมากๆ เห็นองค์พระภายในก็พอแล้ว ดิฉันทราบว่า มีคนจำนวนหนึ่งที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้และคิดว่าตนเป็นชาวพุทธ ดิฉันสงสาร เลยคิดและดูตัวเองเหมือน เอาไม้จิ้มฟันไปงัดไม้ซุง พยายามเอาความรู้สึกให้กลับมานึกถึงตนเอง ว่าเราก็ยังอยู่ในกองทุกข์เลย เรายังอยู่ในน้ำ แล้วอยากช่วยคนอื่นพ้นจากน้ำ พระพุทธองค์ ไม่ทรงสรรเสริญแน่ ขอความกรุณาท่านผู้รู้ ช่วยแนะนำ การดับ ปฎิฆะ นี้

ด้วยค่ะกราบขอบพระคุณ มา ณ ที่นี้ค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 31 ม.ค. 2550

เรื่องการศึกษาพระธรรมและการปฏิบัติธรรมตามคำสอนพระพุทธองค์เป็นเรื่อง ละเอียดอ่อนมาก ถ้าหากบางคนไม่ได้สะสมบุญมา เขาย่อมไม่สนใจที่จะเพียร พยายามเพื่อละกิเลสคือ ยังพอใจที่จะอยู่กับกิเลสและวัฏฏะทุกข์นี้ตลอดไป เพราะ สัตว์จำนวนน้อยที่จะมีปัญญาเห็นโทษภัยวัฏฏะสงสารอันน่ากลัวนี้ โดยมากสัตว์พอใจ ติดข้องอยู่ในกามคุณและภพ ฉะนั้นเมื่อเราไปชักชวนคนเหล่านั้นที่ไม่มีอุปนิสัยย่อมไม่เห็นประโยชน์ของปัญญา แม้พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมแก่ชนที่ได้สะสมบุญมาเท่านั้น คนที่ไม่ได้สะสมบุญมาพระองค์ทรงละคนเหล่านั้น อีกอย่างหนึ่ง คำ สอนของพระพุทธองค์สอนให้ทุกคนละกิเลสของตนเอง กิเลสของผู้อื่นเขาต้อง ละเอง เพราะพระตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
study
วันที่ 31 ม.ค. 2550

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒-หน้า 112

บัดนี้ เราไม่ควรจะประกาศธรรม ที่เราตรัสรู้แล้วโดยยาก ธรรมนี้ เหล่าสัตว์ ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำแล้ว จะตรัสรู้ไม่ ได้ง่าย เหล่าสัตว์ผู้ยินดีแล้วด้วยความ กำหนัด ถูกกองแห่งความมืดหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันทวนกระแส ละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู.

[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ -หน้า228

๗. สัตว์โลกนี้เป็นเหมือนคนบอด ในโลกนี้น้อย คนนักจะเห็นแจ้ง น้อยคนนักจะไปในสวรรค์ เหมือน นกหลุดแล้วจากข่าย (มีน้อย) ฉะนั้น

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ -284

๑๐. บรรดามนุษย์ ชนผู้ถึงฝั่งมีจำนวนน้อย ฝ่ายประชานอกนี้เลาะไปตามตลิ่งอย่างเดียว ก็ชน เหล่าใดแล ประพฤติสมควรแก่ธรรมในธรรมที่เรา กล่าวชอบแล้ว ชนเหล่านั้นล่วงบ่วงมารที่ข้ามได้ยาก อย่างเอกแล้วจักถึงฝั่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
medulla
วันที่ 31 ม.ค. 2550
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 31 ม.ค. 2550

อนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 31 ม.ค. 2550

ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ก็ทรงท้อพระทัยจะไม่ประกาศธรรม เพราะทวน กระแสของชาวโลก จนพรหมต้องมาทูลเชิญให้แสดงธรรม ทุกวันเรายึดติดกับบุคคล วัตถุสิ่งของกิเลสเหนี่ยวแน่น กว่าจะอบรมปัญญาละคลายก็ต้องใช้เวลาเป็นกัปๆ วันๆ เราอยู่กับอกุศลเป็นส่วนมาก ถ้ามีสักขณะที่ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม ก็เป็น นาทีทองของชีวิต

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
shumporn.t
วันที่ 31 ม.ค. 2550

คนดีทุกข์เพราะเรื่องของคนอื่น สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ถึงเราปรารถนาให้สิ่งที่ ดีต่อเขาแต่เพราะกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว และเพราะจิตเป็นไปตามการสะสม ไม่ขึ้น ตรงต่อการบังคับบัญชาของผู้ใด แม้แต่ความปรารถนาดีของเรา กุศลเป็นปัจจัยให้ เกิดอกุศลได้ พิจารณาในสภาพธรรมที่ปรากฏบ่อยๆ เนืองๆ โทสะเกิดเพราะโลภะ โทสะเกิดเพราะมีเรา โทสะเกิดแล้วก็ดับ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะ ปัจจัย ในวิสุทธิมรรค พรหมวิหารนิเทสกล่าวถึงการสอนตนเมื่อเกิดปฏิฆะ ลองหา อ่านดูค่ะ เช่น ระลึกถึงความดีของเขา ระลึกถึงโทษของความโกรธ โกรธคือทำ ทุกข์ให้ตัวเอง พิจารณากัมมัสสกตา พิจารณาความที่เคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏฏ์ พิจารณาอานิสงส์เมตตา

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 31 ม.ค. 2550

เราจะช่วยเขาได้นั้น เราต้องเข้าใจหนทางที่ถูกต้องเสียก่อนไม่เช่นนั้น เราก็บอกผิด เข้าใจว่ารู้หนทางแล้ว เช่น เราจะเห็นการเกิดดับทันทีไม่ได้ ต้องรู้ลักษณะของ นามธรรม และรูปธรรมก่อน ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลายาวนานมากครับ ผมคิดว่าเราควร พิจารณากิจของตนเป็นสำคัญเพราะเหตุว่าความเข้าใจธัมมะหรือดับกิเลส ต้องเริ่ม จากตัวเองก่อนครับ ขอยก ข้อความในพระไตรปิฏก เรื่องฐานะใดที่จะช่วยคนอื่นได้ และ เรื่องเราควรพิจารณากิจตัวเองเป็นสำคัญ

เชิญคลิกอ่านที่นี่..

ผู้ที่ฝึกตนแล้วย่อมฝึกผู้อื่นได้ [สัลเลขสูตร]

พิจารณาตัวเองเป็นสำคัญ [เรื่องปาฏิกาชีวก]

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 31 ม.ค. 2550
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Niranya
วันที่ 31 ม.ค. 2550

กราบขอบพระคุณทุกท่านค่ะ ดิฉันจะน้อมเอาคำแนะนำมาพิจารณา เพื่อจิตจะได้แป็น อิสระ ไม่วนเวียนอยู่แต่เรื่องที่เป็นห่วง.

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
yupa
วันที่ 1 ก.พ. 2550

พอได้มาฟังธรรมจากท่านอจ.สุจินต์ นานๆ เข้า ก็เริ่มคิดเริ่มเข้าใจคำว่า "มีแล้วหามีไม่" คำนี้พิจารณาดีๆ จะเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง ปัญหาของคนอื่นเราแก้ไขไม่ได้ หรอก เราต่างหากที่ต้องศึกษาพระธรรมและมีพระธรรมเป็นหลักในการครองชีวิต ส่วน ตัวเชื่อเสมอว่าความดี คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
muja
วันที่ 1 ก.พ. 2550

ปรารถนาดีกับผู้อื่นที่ยังไม่เข้าใจในหลักธรรมนั้น ยากยิ่งกว่าปรารถนาดีกับตนเองผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
namarupa
วันที่ 3 ก.พ. 2550

ก่อนหน้านี้ ดิฉันเคยคิดว่าตัวเองเข้าใจและซาบซึ้งในพระธรรม คำสอน แต่ต่อมา เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆ ก็ได้ค้นพบว่า ตัวเองยังไม่รู้และยังไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ก็ยังอยากจะเผื่อแผ่และสอนคนอื่น และคิดว่าตัวเองรู้แล้วและเข้าใจแล้ว แต่ ตามความเป็นจริง ดิฉันยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ก็กร่างอยากไปแนะนำหรือสอนคน อื่น พอคิดขึ้นได้ว่าจริงๆ แล้วตัวเราเองเราก็ยังไม่เห็นแม้กระทั่ง อกุศลของตัวเราเอง แล้วยังจะไปสอนคนอื่น หรือไปมองเห็นอกุศลของคนอื่น จึงเกิดความละอาย ตั้งแต่บัดนั้นเลยไม่สนใจที่จะไป สอนคนอื่น หรือแนะนำคนอื่นในสิ่งที่ตัวเองรู้หรือ เข้าใจอีกเลย แต่จะคอยหมั่นสังเกต…จิตของตนว่า ขณะที่เราเห็น อกุศลจิตของคน อื่นและติติงเขา..ขณะนั้นจิตของเราเองเป็นอย่างไร? เราเคยรู้ไหม? หลังจากนั้นก็ พยายามที่จะเลิกสนใจในจิตที่เป็นอกุศลของคนอื่น เพราะหาประโยชน์ใดๆ ไม่ได้ เลย ..แล้วจิตของเราล่ะ เป็นอะไร ในขณะที่ติติงผู้อื่น? เราเคยสังเกตบ้างหรือปล่า? ดิฉันคิดว่าตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ เพราะการขัดเกลากิเลสที่น่ารังเกียจนั้น.. ไม่ใช่ ขัดเกลากิเลสของคนอื่น แต่ตัวเราเองต่างหากที่ควรจะต้องขัดเกลา อยากช่วย ผู้อื่น ว่าแต่ว่า เราเองดีแล้วหรือยัง เข้าใจในพระธรรมคำสอนจริงๆ แล้วหรือยัง? ขัดเกลาในอกุศลที่ตัวเองมีแล้วแค่ไหนอันนี้ต่างหากที่เราควรจะใส่ใจ สำคัญอย่างยิ่ง จงอย่าลืมว่า ในเมื่อเราเองยังช่วยตัวเองยังไม่ได้ แล้วเราจะช่วยผู้อื่นได้อย่างไรการศึกษาธรรม วัตถุประสงค์ก็คือเพื่อการขัดเกลากิเลสของตัวเรา ไม่ใช่ขัดเกลา กิเลสของผู้อื่นอย่างแน่นอนค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
devout
วันที่ 4 ก.พ. 2550

ขออนุโมทนาคุณ namarupa ค่ะ ในความเป็นผู้ตรง และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า ที่ เคยคิดว่ารู้แล้วเข้าใจแล้ว แท้ที่จริงแล้วเรายังไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะถ้ารู้จริง เข้าใจจริงต้องเป็นความรู้ชัดในขณะนี้ แม้กระนั้นความรู้ในระดับนี้ ก็ยังออกจาก สังสารวัฏฏ์ไม่ได้ เปรียบเสมือนความพยายามที่จะทำลายภูเขาลูกใหญ่ด้วยปลายเล็บ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
กุมารน้อย
วันที่ 6 ก.พ. 2550

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ