ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๗ /-/

 
khampan.a
วันที่  15 พ.ค. 2559
หมายเลข  27791
อ่าน  3,023

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๗

~ ไม่เกี่ยงให้คนอื่นศึกษาธรรม แต่ ... แต่ละคนเมื่อเห็นประโยชน์แล้วก็ศึกษา ถ้าเป็นอย่างนี้ ทั้งประเทศก็ศึกษาธรรม "ไม่ใช่...พระพุทธศาสนาดีมาก แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างให้คนอื่นเขาศึกษา ให้เด็กๆ ศึกษา แต่ตัวเองก็ไม่ได้ศึกษา" อย่างนั้นเป็นผู้ที่ไม่ตรง ไม่จริงใจ ถ้ารู้ว่าสิ่งใดประเสริฐ เห็นค่าจริงๆ เพราะฉะนั้น ทั้งชีวิต ควรจะเป็นอย่างไร เพื่ออะไร (เพื่อศึกษาพระธรรม เข้าใจพระธรรม)


~ มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้คำที่ไม่น่าฟัง ไม่รื่นหู ไม่อ่อนโยน? ถ้าท่านศึกษาปรมัตถธรรม (สภาพธรรมที่มีจริงๆ ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้) ท่านก็จะทราบว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต

~ ท่านที่ต้องการจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมยังอยากจะใช้วาจาที่ไม่รื่นหูบ้างไหม? แล้วชีวิตในวันหนึ่งๆ ต้องใช้วาจามากไหมกับบุคคลอื่น ในขณะนั้นไม่ใช่โอกาสที่จะให้อย่างอื่น แต่ก็ให้วาจาที่อ่อนหวานได้

~ ถ้าใครจะทำอะไรดูออกจะใช้กำลังหรือดูออกจะเหนื่อยมาก หรือว่าอาจจะเสร็จช้า ถ้าท่านช่วยสักหน่อยหนึ่งก็อาจจะเสร็จเร็วขึ้นแล้วก็ไม่เหนื่อยเท่าไร อย่างนั้นควรไหมที่จะช่วย หรือว่าก็คงยังนั่งเฉยๆ ดูดายต่อไป? ถ้าผู้ใดมีเมตตาจิต ท่านก็สามารถที่จะเจริญกุศลได้มาก

~ ถ้าใครทำกุศลกรรม ถึงคนอื่นจะไปขอร้องไม่ให้กุศลกรรมให้ผล ก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่าถ้าใครทำอกุศลกรรม ถึงใครจะไปช่วยกันอ้อนวอน ขอร้องอย่าให้บุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรม ก็เป็นไปไม่ได้เลยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้อื่นก็ไม่ควรจะมีจิตใจเดือดร้อนกับเรื่องราวของบุคคลอื่นกับกรรมของบุคคลอื่น เพราะบุคคลนั้นก็ย่อมเป็นไปตามกรรมของเขา และในขณะเดียวกัน ก็จะได้พิจารณาถึงสภาพจิตของตนเองด้วยว่า ถ้าเป็นอกุศลในขณะนั้น ก็เป็นการกระทำตนของตนเองให้เดือดร้อน แล้วก็สะสมอกุศล ความเศร้าหมองของจิตมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นโทษเพิ่มขึ้น

~ ชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ก็คือ ชนะกิเลสของตนเองในขณะนั้น แล้วก็เห็นโทษจริงๆ ว่า บุคคลโกรธตอบบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่าเป็นคนเลวกว่าบุคคลผู้โกรธ เพราะเหตุว่าคนผู้โกรธเป็นคนเลว เพราะมีอกุศลจิตเกิดขึ้น แต่บุคคลผู้โกรธตอบ ก็เป็นผู้ที่ทั้งๆ ที่เห็นว่าเป็น อกุศล ก็ยังมีอกุศลจิตเกิดด้วย

~ สำหรับเรื่องของวาจาก็เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นวจีสุจริตเท่าที่สามารถจะกระทำได้ ไม่ควรจะให้เป็นวจีทุจริตเลย

~ คำพูดซึ่งเป็นที่น่าชื่นใจ กับคำพูดที่หยาบคาย แสดงถึงจิตใจที่ต่างกันแล้ว คำพูดที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ต่างๆ ส่องให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของกิเลสที่สะสมมีอยู่ในใจนั่นเอง

~ ไม่ว่าจะได้ลาภ ไม่ว่าจะเสื่อมลาภในวันหนึ่งวันใด ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ถ้าสติระลึกรู้ตามความเป็นจริงในขณะนั้น ก็จะไม่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่า เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล


~ สิ่งใดควรประพฤติตาม แล้วก็เห็นว่าเป็นประโยชน์ ท่านสามารถที่จะประพฤติตามเพื่อขัดเกลาได้ ท่านก็ประพฤติตามได้ เพราะเหตุว่าไม่เป็นโทษเป็นภัยในเรื่องของกุศลจิต

~ การที่จะละคลายขัดเกลากิเลสจนถึงดับเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้เด็ดขาด) จริงๆ เป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะคิดว่า แม้ปัญญาไม่เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็สามารถที่จะดับกิเลสได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้เป็นการผิด เพราะเหตุว่ากิเลสมีมากเหลือเกินในใจ เมื่อยังไม่ได้ศึกษา ไม่ทราบเลยว่า เป็นกิเลสประเภทใดบ้าง อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ประการใด แต่ถ้าศึกษาจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้โดยละเอียด ท่านจะทราบได้ว่า กิเลสของท่านยังมีมาก ยังหลงเหลืออยู่ในลักษณะใดบ้าง ที่ควรจะขัดเกลายิ่งขึ้น

~ ถ้าท่านจะถูกประทุษร้าย เบียดเบียนในปัจจุบันชาตินี้ แทนที่จะนึกโกรธ หรือมุ่งร้ายต่อบุคคลซึ่งกระทำต่อท่าน ก็ควรที่จะมนสิการ (ใส่ใจ) ถึงกรรมของท่านเองที่ได้กระทำแล้ว ว่ามีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ผลดังนี้จึงได้เกิดกับท่าน ถ้านึกอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ ก็คงจะทำให้ละคลายการผูกโกรธ

~ การพูดในสิ่งที่ไม่จริง ทำให้คนอื่นเสียหายและเสียประโยชน์ และทำให้คนอื่นเข้าใจผิดด้วย เพราะฉะนั้น ก็มีโทษมากทีเดียว

~ ในการเป็นพุทธบริษัท เพื่อจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ต้องเป็นผู้ตรงต่อธรรม ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ แต่ถ้าท่านผู้ใดยังไม่ตรง ยังเห็นแก่บุคคลบ้าง สำนักบ้าง สถานที่บ้าง ข้อปฏิบัติที่คลาดเคลื่อนบ้าง ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย

~ พระธรรมวินัยที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดครบถ้วน ทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก เพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัทให้ศึกษา และเป็นผู้ตรงต่อธรรมวินัยจริงๆ การประพฤติปฏิบัติก็ต้องตรงต่อธรรมวินัย ผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้า ต้องเป็น อุชุปฏิปันโน (ปฏิบัติตรง) ถ้าคดโค้ง หรือว่าคดโกง ไม่ตรงต่อธรรม ทั้งในความเข้าใจ ทั้งในการประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอริยสาวกได้

~ เป็นคฤหัสถ์ที่ดีก็แสนยาก แล้วจะเป็นพระภิกษุที่ดี จะยากกว่าสักแค่ไหน

~ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ รู้ทุกอย่างเลย อกุศลมีอะไรบ้าง โลภะ โทสะ โมหะ อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ล้วนแต่เป็นอกุศลที่ไม่ดีทั้งนั้น รู้ทั้งรู้ แต่ว่าเมื่อมี เหตุปัจจัยก็เกิดได้ แล้วก็เกิดอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ก่อนที่ทันจะระลึกได้

~ การเกื้อกูลกันให้เกิดความเห็นถูกในข้อประพฤติปฏิบัติ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเหตุว่า ถ้าท่านมีความเข้าใจผิด มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในข้อประพฤติปฏิบัติ ไม่มีโอกาสเลยที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ถึงแม้ว่าท่านจะอบรม แต่ปัญญาไม่เกิดที่จะแทงตลอดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ด้วยดี ทั้งพยัญชนะและอรรถ เพราะฉะนั้นถ้าพระธรรมไม่เกื้อกูลให้ท่านมีความเข้าใจถูก ท่านยังคงยึดมั่นในความเห็นผิด ในข้อปฏิบัติที่คลาดเคลื่อน นอกจากในปัจจุบันชาติจะไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แม้ในชาติต่อๆ ไป ก็มีความเข้าใจผิด หลงไปว่าข้อปฏิบัติที่คลาดเคลื่อนนั้น เป็นผลที่ถูกต้อง

~ ตั้งแต่ครั้งโน้น จนถึงครั้งนี้ ไม่เว้นสักโอกาสเดียวที่พระผู้มีพระภาคจะทรงเกื้อกูลพุทธบริษัท ใครก็ตามที่อาจจะมีความคิดเห็นผิดไป คลาดเคลื่อนไป แต่เป็นผู้ที่ใส่ใจ พิจารณาธรรมตรงตามความเป็นจริง ผู้นั้นก็ย่อมไม่เข้าข้างตัวเอง เมื่อฟังธรรม ก็ฟังเหตุผลของธรรม และถ้าสภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นอย่างไร การเจริญปัญญาก็จะต้องรู้ตรงสภาพธรรมตามความเป็นจริงอย่างนั้น แต่ถ้าสภาพธรรมตามความเป็นจริงและที่ทรงแสดงไว้ เป็นอย่างนี้ แต่ท่านเข้าใจผิด รู้อย่างอื่น แม้ว่าพระธรรมจะได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้เกื้อกูลให้ท่านเห็นว่า ยังไม่ใช่ความรู้จริง แต่ว่าถ้าเป็นความรู้จริงแล้ว ก็จะต้องรู้ตรงตามสภาพธรรมที่ปรากฏและที่ทรงแสดงไว้

~ ถ้าบุคคลใดไม่มีความเห็นถูก การปฏิบัติก็ไม่ถูก การรู้แจ้งธรรมก็ถูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความเห็นถูกเป็นเบื้องต้นทีเดียว เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ท่านสามารถประพฤติปฏิบัติต่อไปจนกระทั่งได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง

~ เมื่อหลงลืมสติ ก็สะสมกิเลสไว้มาก การขัด การละก็ยากขึ้น แล้วก็โอกาสที่จะเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรม ที่จะไปสู่กำเนิดอื่นก็มีมาก แต่ว่าผู้ที่เห็นคุณของพระธรรม แล้วก็เห็นประโยชน์ของการเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่ละเว้นโอกาสที่จะศึกษาพระธรรมและน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม

~ การที่เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานนั้น เป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ใช่กุศลกรรม การเกิดในนรกก็เป็นผลของอกุศลกรรม แต่ไม่มีผู้ใดทราบความวิจิตรว่ากรรมที่ท่านได้กระทำแล้ว หลังจากจุติจิตสิ้นสุดความเป็นมนุษย์ในโลกนี้แล้ว อกุศลกรรมนั้นจะทำให้ปฏิสนธิในนรก หรือว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน แต่ว่าเหตุคือ อกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั้น มีอยู่ ถ้าให้ผลทำให้ปฏิสนธิ ก็จะทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิ

~ ถ้าตราบใดที่ทุจริตกรรม อกุศลกรรมที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิในนรก มี เมื่อจุติจากมนุษย์ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก ไม่นานเลย ผู้นั้นจะต้องได้รับการทุกข์ทรมานมาก เป็นระยะเวลาที่นานกว่าการเป็นมนุษย์ในโลกนี้มากทีเดียว

~ ไม่มีมิตรแท้สำหรับผู้ที่มีปิสุณาวาจา มีเจตนาที่จะมุ่งทำลายบุคคลอื่น เพราะฉะนั้น ผลของกรรมนั้นก็คือว่า ถ้าเป็นผลของกรรมอย่างเบาที่สุด ก็จะทำให้เป็นผู้ที่แตกจากมิตร

~ เรื่องของการรักษาศีล เป็นเรื่องของการขัดเกลาละคลายกิเลสให้ยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพื่อจะเอาบุญ จุดประสงค์ของผู้รักษาก็เพื่อที่จะเพียรประพฤติขัดเกลาเท่าที่โอกาสสามารถที่จะกระทำได้ ไม่ใช่ไปรับมาเพื่อได้บุญ แล้วก็มีอกุศลจิตที่จะกระทำตรงกันข้ามกับเจตนา คือ เพิ่มกิเลสให้มากขึ้น

~ ความไม่รู้ ไม่สามารถดับกิเลสได้

~ สะสมความดีไว้ เพื่อจะได้ไม่เป็นคนเลวในวันข้างหน้า

~ ความสงบสุข ต้องเกิดจากคุณความดี

~ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา นี้ เป็นหนทางที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตาจนถึงที่สุด.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๖

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
peem
วันที่ 15 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
aurasa
วันที่ 15 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Boonyavee
วันที่ 15 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
rrebs10576
วันที่ 15 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 15 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
napachant
วันที่ 16 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pulit
วันที่ 16 พ.ค. 2559

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Noparat
วันที่ 16 พ.ค. 2559

~ สะสมความดีไว้ เพื่อจะได้ไม่เป็นคนเลวในวันข้างหน้า

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 16 พ.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 16 พ.ค. 2559

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
j.jim
วันที่ 16 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
j.jim
วันที่ 16 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 16 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
jirat wen
วันที่ 16 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
เมตตา
วันที่ 16 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิต ของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
tanrat
วันที่ 17 พ.ค. 2559

ฟังไว้ พิจารณาไว้ สะสมไป

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
สิริพรรณ
วันที่ 20 พ.ค. 2559

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนา ขอบพระคุณ อ.คำปั่นด้วยค่ะ

ถ้าไม่เริ่มจากการฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม และเห็นถูกในสภาพธรรม จะไม่มีโอกาสที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 2 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ