ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๙

 
khampan.a
วันที่  29 พ.ค. 2559
หมายเลข  27832
อ่าน  3,049

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๙

~ ถ้าคนมีบุญทุกอย่างก็ดีไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำมาค้าขาย หรือว่าอะไรก็ตาม ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลั่งไหลมาสู่ผู้นั้นเพราะบุญที่ได้กระทำไว้แล้ว แต่พอถึงบุคคลที่ไม่มีบุญ ก็หมดเหมือนกัน สิ่งที่เคยมีก็มีการวิบัติไป

~ ถ้าท่านเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม ท่านก็เห็นว่าสภาพธรรมใดเป็นอกุศล สภาพธรรมใดเป็นกุศล เมื่อได้เห็นจริงว่าสภาพธรรมนั้นเป็นอกุศล ท่านก็จะเว้นการที่จะทำทุจริตกรรม เพราะถึงแม้ว่าอกุศลจิต ความพอใจ ความไม่พอใจ จะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ก็จะไม่ทำให้รุนแรง แรงกล้าถึงกับกระทำทุจริตกรรมลงไปได้

~ ขณะใดที่ได้ทราบการกระทำบุญกุศลของบุคคลอื่น ท่านควรเป็นผู้ที่มีจิตยินดี ชื่นชม อนุโมทนาในกุศลกรรมที่ท่านได้ทราบนั้น ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตระหนี่แม้แต่จะชื่นชมยินดีในบุญกุศลของบุคคลอื่น ก็เกิดไม่ได้

~ การสงเคราะห์แก่ผู้ที่ควรสงเคราะห์ ไม่เลือกสัตว์ บุคคล ผู้ใดที่อยู่ในสภาพที่ควรสงเคราะห์ช่วยเหลือให้ความสะดวก ให้ความสบาย ท่านก็ควรจะสงเคราะห์แก่ผู้นั้น แม้เพียงเล็กน้อยในขณะนั้น ก็เป็นกุศลจิต

~ เรื่องของการที่จะให้บุคคลอื่นได้รับประโยชน์สุข อย่าจำกัดแคบๆ เพียงเฉพาะการสละวัตถุให้เท่านั้น แต่มีโอกาสใดที่จะเกื้อกูลแก่คนที่กำลังเดือดร้อนโดยวิธีใดๆ โดยเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม ท่านก็ย่อมสามารถที่จะกระทำได้

~ กิตติศัพท์ คือ คุณความดี บุคคลผู้ที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี ย่อมไม่มีคุณความดีที่จะขจรไป อาจจะมีผู้กล่าวถึง แต่ว่ากล่าวถึงในเรื่องของความไม่มีศรัทธา ในเรื่องของความตระหนี่ถี่เหนียว ในเรื่องของการพูดเสียดสี ซึ่งไม่ใช่กิตติศัพท์ ไม่ใช่คุณความดี

~ เพียงท่านออกนอกทางที่ถูกไป ก็เป็นทางที่ผิดเสียแล้ว ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ท่านหมดจดจากกิเลสได้เลย

~ พิจารณาไตร่ตรองแล้วพูดติเตียนคนที่ควรติเตียน เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล พูดติเตียนด้วยกุศลจิตได้ไหม? เพื่ออนุเคราะห์ให้เห็นว่าสิ่งนั้นไม่ควร



~ ท่านที่ได้กระทำทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ เวลานี้หวั่นกลัวเกรงภัยของบ้านเมือง ท่านอาจจะหนีพ้นชั่วคราวระยะหนึ่ง แต่ว่ากรรมที่ได้กระทำไว้ ก็จะต้องให้ผล แล้วแต่ว่าจะให้ผลมาก เผ็ดร้อน หนักเบา ตามควรแก่กรรมนั้นๆ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับการรับผลของกรรมในมนุษย์ ยังเบากว่าการรับผลของกรรมเมื่อเวลาที่ท่านไปเกิดในนรกมากทีเดียว

~ ถ้าเป็นภิกษุทุศีล (พระภิกษุไม่รักษาพระธรรมวินัย ล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ ไม่น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย) คฤหัสถ์ซึ่งรู้ ก็สามารถเตือนทางอ้อม โดยการไม่แสดงความเคารพ คงจะไม่เสียหายอะไร คือ ไม่ได้ลบหลู่ ไม่ได้แสดงกิริยาอาการที่น่ารังเกียจ เพียงแต่ว่าไม่แสดงความเคารพเท่านั้น ก็คงจะพอสำหรับการที่จะทำให้ภิกษุนั้น ได้พิจารณาตนเองว่าท่านประพฤติสิ่งที่สมควรหรือไม่สมควร

~ เมตตา หมายความถึงความเป็นมิตร ความไม่ใช่ศัตรู ขณะใดที่หวังเกื้อกูล คิดถึงประโยชน์ของคนอื่น ขณะนั้นเป็นจิตที่เมตตา ซึ่งเมื่อจิตเมตตาเกิดขึ้นแล้ว เวลาที่กุศลจิตเกิด ย่อมมีทางของกุศล คือ กายบ้าง วาจาบ้าง ขณะที่เมตตาเกิดจริงๆ นี้ กายจะเป็นกุศลจริงๆ ช่วยเหลือได้ทันที ไม่อิดเอื้อน หรือไม่รู้สึกว่า ไม่ใช่ธุระ หรือทางวาจาที่เมตตา คำพูดก็จะต่างกับขณะที่ไม่เมตตา เป็นคำพูดที่คำนึงถึงผู้ฟัง ไม่ทำให้เขาเกิดความเสียใจ เพราะว่าพระธรรมนี้ละเอียดมาก แม้แต่การที่เพียงแต่จะย้อนเพื่อน ขณะนั้นก็รู้ว่า กำลังย้อนนั้น ไม่ใช่เพื่อน คนละขณะกับที่เป็นเพื่อนแล้ว จิตขณะนั้นเป็นอกุศล ปราศจากเมตตาแล้ว เพราะฉะนั้น การที่ได้ศึกษาธรรมโดยละเอียดนี้ ก็จะทำให้กาย วาจาเพิ่มความระมัดระวัง และเป็นกุศลขึ้นที่ประกอบด้วยเมตตา

~ ถ้าท่านเป็นเพื่อนแท้ของบุคคลใด ก็แสดงว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อบุคคลนั้น และก็จะรู้ได้ว่า ถ้าหวังร้ายต่อใคร หรือว่ายินดีในความพินาศของใครขณะใด ขณะนั้นท่านไม่ได้เจริญเมตตา ไม่ต้องไปแผ่ถึงไกลมาก เพียงแต่ผู้ที่ท่านรู้จักคุ้นเคย แล้วท่านเกิดความไม่พอใจในความเจริญของบุคคลนั้น หรือว่ายินดีในความพินาศของบุคคลนั้น ก็ชื่อว่าท่านไม่ได้เจริญเมตตาในขณะนั้น

~ สติเป็นโสภณเจตสิก (เจตสิกที่ดีงาม) เป็นธรรมที่จำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะเหตุว่าชีวิตวันหนึ่งๆ ซึ่งเต็มไปด้วยอวิชชา ขณะนั้นหลงลืมสติ ไม่เป็นกุศล ไม่สามารถที่จะพิจารณาสภาพธรรมในชีวิตประจำวันได้ตามความเป็นจริง จนกว่าสติจะเกิดเมื่อใด มีการระลึกได้แม้ในเหตุในผล ในความถูกความควรในชีวิตประจำวันขณะใด ขณะนั้นก็เป็นการเกิดขึ้นของสติ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในชีวิตประจำวันนี้ไม่ว่าในกาลสมัยไหน กุศลธรรมเกิดขึ้นเพราะสติมีการระลึกได้ มิฉะนั้นแล้ว วันหนึ่งๆ ทุกคนก็เต็มไปด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง

~ บุคคลอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เราโกรธได้ ถ้าเราไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า ขณะใดที่ความโกรธเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นการประทุษร้ายตนเอง ซึ่งบุคคลอื่นไม่ได้กระทำ นอกจากกิเลสของตนเองเป็นผู้กระทำ

~ เรื่องการปฏิบัติธรรม อย่าเพียงคิดว่าจะปฏิบัติหรือว่าชักชวนกันไปปฏิบัติ แต่ว่าควรที่จะพิจารณาว่า เคยกลัวบ้างไหมว่าจะปฏิบัติผิด? เพราะเหตุว่ามักจะสนใจที่จะไปปฏิบัติหรือชักชวนกันไปปฏิบัติ แต่ว่าอาจจะไม่เคยกลัวว่าจะปฏิบัติผิด ซึ่งตามความจริงแล้ว การปฏิบัติต้องมีที่ผิดและที่ถูก เพราะเหตุว่าความเห็นมี ๒ ประการ คือ ความเห็นผิด ก็มี ความเห็นถูก ก็มี เพราะฉะนั้น ถ้าความเห็นยังไม่ถูก การปฏิบัติก็ถูกไม่ได้

~ ไม่ควรประมาทกุศลแม้เพียงเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน เพียงขณะหนึ่งที่ทำความดี ขณะนั้นก็สะสมที่จะเป็นคนดีในลักษณะนั้นๆ ต่อไป

~ อธิษฐาน ไม่ใช่ "ขอ" แต่เป็นความมั่นคงในกุศลธรรม เพราะรู้ว่า ถ้าขณะนั้นกุศลธรรมไม่เกิด อกุศลธรรมเกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกโอกาสที่จะเป็นกุศล แต่ละประการ แต่ละขณะที่จะเป็นไปได้ ทำทันทีมิฉะนั้นแล้วอกุศลก็เพิ่มขึ้น

~ การฟังพระธรรมเป็นเรื่องของปัญญา ต้องรู้ว่าไม่ใช่ฟังเพื่อใจสบาย แต่ว่าฟังเพื่อเข้าใจธรรมคือสิ่งที่มีจริง

~ เจริญกุศลเท่าที่สามารถจะมีปัจจัยทำให้เกิดและเจริญได้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหลายนั้นเป็นอนัตตา แม้ว่าจะได้ทรงแสดงเรื่องของกุศลทุกขั้น แต่ว่าปัจจัยของอกุศลจิตก็ยังมีมากเหลือเกิน ทำให้อกุศลจิตเกิดมาก ความตระหนี่ก็ยังมี และก็อกุศลอื่นๆ ก็ยังมีเชื้อมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น

~ ถึงแม้ว่าทุกท่านจะรวมกันร้องไห้ เศร้าโศก คร่ำครวญ บุคคลที่สิ้นชีวิตไปแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะกลับฟื้นคืนมาได้ เพราะฉะนั้น การร้องไห้เศร้าโศกนั้นก็ไม่มีประโยชน์เลย แต่ควรจะกระทำกิจที่เป็นประโยชน์ คือ การกระทำกุศล ถวายทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้

~ ถ้าคิดดี ก็จะทำไม่ดี ไม่ได้, ถ้าคิดไม่ดี ก็ทำดี ไม่ได้



~ กิเลสทั้งหลายนั้นจะเบาบางลงได้ ก็เพราะปัญญาเจริญขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าตราบใดปัญญายังไม่มีเลย จะมีใครที่เป็นคนดีขึ้นๆ นั้น ยาก เพราะว่าจะต้องเป็นปัญญาที่เพิ่มขึ้นตามลำดับขั้นจึงจะดีขึ้นได้

~ พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา เรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตราบใดที่ยังยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตน ที่จะพ้นทุกข์เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้ารู้ตามความจริงว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างไม่เที่ยง เกิดมาแล้วไม่มีสักขณะจิตเดียวที่เที่ยง ถ้ารู้ความจริงและประจักษ์อย่างนี้จริงๆ ไม่มีการยึดมั่นว่าเป็นเรา ความทุกข์ก็จะน้อยลง

~ ถ้าเป็นอกุศลธรรม มีใครอยากจะมี? แต่ถ้าปัญญาไม่เกิด อกุศลธรรมนั้นๆ ก็ยังเกิดอยู่เรื่อยๆ และทางเดียวที่จะละคลายอกุศลธรรมได้ ก็ต้องเป็นปัญญาที่เจริญขึ้น

~ การกระทำการงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับการกสิกรรม ต้องอาศัยพืช ฉันใด การอบรมเจริญธรรมที่เป็นกุศล ถ้าขาดศรัทธาแล้ว ก็จะเจริญไม่ได้เลย เหมือนชาวนาที่ไม่มีพืช ก็ย่อมทำกิจการงานเกี่ยวกับกสิกรรมไม่ได้

~ การสะสมปัญญาไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้กิเลสอ่อนกำลังได้ในการที่จะก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็จะทำให้ช้าลง หรือแทนที่จะก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ก็ทำให้การก่อตัวนั้นลดกำลังลงได้

~ ถ้าศึกษาในจริยาปิฎก คือ ความประพฤติของพระผู้มีพระภาคเมื่อครั้งที่บำเพ็ญบารมี จะเห็นได้ว่า แม้ว่าจะมีผู้ที่กระทำสิ่งที่เลวร้ายในขณะที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ด้วยประการต่างๆ กำลังจะโกรธก็ระลึกได้ว่า ไม่ควรจะโกรธ เพราะเหตุว่าความโกรธนั้นจะไม่ทำให้ถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน

~ ถ้าปัญญาไม่เกิดแล้ว ขณะที่ไม่เข้าใจหนทาง ไม่ใช่ปัญญา ขณะนั้นถ้าปฏิบัติ ก็ต้องเป็นมิจฉามรรค (หนทางที่ผิด)

~ การให้ ที่จะเป็นการละโลภะ ต้องเป็นการให้เพื่อขัดเกลากิเลส คือ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทนทั้งสิ้น

~ ลองคิดดูว่า ถ้าไม่อภัยให้ใคร กาย วาจาที่มีต่อบุคคลนั้นจะเป็นอย่างไร จะไม่เป็นไปในทางที่เป็นมิตรเลย เพราะฉะนั้นกุศลก็ย่อมเจริญไม่ได้ แล้วก็จะถึงฝั่ง (แห่งการดับกิเลส) ได้อย่างไร

~ พระธรรม สำหรับทุกคนที่เห็นประโยชน์.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๘

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nong
วันที่ 29 พ.ค. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Boonyavee
วันที่ 29 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 29 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 29 พ.ค. 2559

กราบขอบพระคุณค่ะ ทุกๆ คำเป็นคำจริง คล้อยตามพระดำรัสของพระศาสดา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Noparat
วันที่ 29 พ.ค. 2559

~ ถ้าคิดดี ก็จะทำไม่ดี ไม่ได้, ถ้าคิดไม่ดี ก็ทำดี ไม่ได้

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 29 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 30 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
rrebs10576
วันที่ 30 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pulit
วันที่ 30 พ.ค. 2559

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 30 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 31 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
peem
วันที่ 31 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เมตตา
วันที่ 1 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่นเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
aurasa
วันที่ 4 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ